หลี่อวิ๋นเม่ยกระเง้ากระงอด งึมงำอยู่ในคอว่าไม่อยากปักผ้า แต่ก็ยังเดินออกไปตามคำสั่งของมารดา
เมื่อลูกสาวลับตัวไปแล้ว ซย่าซื่อก็ยิ้มให้ซย่าหมิ่นอย่างอารีแล้วจูงมานั่งที่ตั่งยาว “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าคงมีเรื่องเดือดร้อนสินะถึงได้มาหาป้า พวกเราครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด”
ตอนทรุดตัวลงนั่งซย่าหมิ่นเหลือบไปเห็นหางดำๆ อยู่ตรงขาตนเอง แต่พอมองอีกทีก็ไม่มีแล้ว นางตาฝาดหรืออย่างไรกันนะ
จากนั้นนางก็นึกถึงจุดประสงค์ของตัวเองขึ้นมาได้ จึงเรียบเรียงคำพูดในหัวซ้ำอีกครั้งแล้วเอ่ยกับซย่าซื่ออย่างระมัดระวัง “ท่านป้า คืออย่างนี้เจ้าค่ะ อาจื้อต้องนำค่าเล่าเรียนไปจ่ายสำนักศึกษาเดือนนี้ แต่ข้ามีเงินไม่พอ จึงอยากมาขอยืมเงินท่านป้า ข้าจะจ่ายดอกให้ด้วย โปรดให้ข้ายืมด้วยเถิด”
ซย่าซื่อฟังจบก็ตอบอย่างมีน้ำใจ “หมิ่นเอ๋อร์ คนบ้านเดียวกันเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือเกินอยู่แล้ว เจ้าคงกลุ้มใจน่าดูเลยสินะ น่าจะมาบอกป้าให้เร็วกว่านี้ อีกอย่างยืมเงินยังจะพูดถึงดอกเบี้ยไปไย ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้…” พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของหญิงสูงวัยก็เปลี่ยนไป “แต่ถึงอย่างไรป้าก็ต้องขอพูดจากใจจริง คนที่มุมานะร่ำเรียนหนังสือมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีสักกี่คนกันที่สอบเป็นขุนนางได้ ต่อให้ซย่าจื้อหัวดีเพียงใดก็สู้บรรดาคุณชายตระกูลใหญ่ที่มีพรสวรรค์จริงๆ ไม่ได้หรอก อีกอย่างตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพนี้ คิดวิธีหาเงินมาซื้อข้าวกินให้อิ่มท้องจะดีกว่า ส่งอาจื้อเรียนหนังสือไปมีแต่จะลำบากตัวเองเปล่าๆ…”
ซย่าหมิ่นนึกด่าตนเองในใจว่าโง่เง่า น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่ามาที่นี่มีแต่จะถูกเยาะเย้ยโดยไม่ได้อะไรติดมือกลับไป
หลังจากเย้ยหยันหลานสาวเสร็จ ซย่าซื่อก็กลับไปทำหน้าอารี “หมิ่นเอ๋อร์ ป้ามองว่าเทียบกับเรียนหนังสือแล้วน่าจะให้อาจื้อทำการค้ามากกว่า ลุงเขยของเจ้ารู้จักเถ้าแก่มากมาย สามารถช่วยฝากอาจื้อไปเรียนรู้วิชาค้าขายได้ ทำการค้าหาเงินได้มากกว่าเรียนหนังสืออีกนะ ส่วนเจ้ากับเจวี้ยนเอ๋อร์ ป้าจะช่วยหาคู่ดีๆ ให้พวกเจ้าแต่งงาน พ่อแม่เจ้าก็ตายไปหมดแล้ว ป้าคนนี้จะดูดายพวกเจ้าได้อย่างไร ป้าไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนอยู่เป็นสาวเทื้อในเมืองเฉาหยางจริงๆ หรอก
“หมิ่นเอ๋อร์ ป้ารู้ดีว่าเจ้าอยากกอบกู้ร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาอีกครั้งถึงได้ไปตั้งแผงรักษาโรคทุกวัน แต่ชื่อเสียงของร้านยาก่วงจี้ย่อยยับไปแล้ว จะกอบกู้ขึ้นมาใหม่ได้หรือ เจ้าจะลำบากไปเพื่ออะไรกัน แต่งงานแต่งการเสีย ครึ่งชีวิตที่เหลือจะได้มีที่พึ่ง ไม่ดีหรือไร”
หลังพูดออกมายาวเหยียดซย่าซื่อก็คลี่ยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้านึกออกหรือยังว่าพ่อเจ้าเก็บตำรับยาจำพวกน้ำแกงสิบสมุนไพรบำรุงร่างกายไว้ที่ใด หากมีตำรับยาพวกนี้ป้าก็จะพอช่วยเจ้าหาเงินได้บ้าง เจ้าก็รู้นี่นา ไม่ว่าจะให้อาจื้อเรียนการค้าหรือหาคู่แต่งงานให้พวกเจ้าสองคนพี่น้องก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น…”
ซย่าหมิ่นนั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนถึงตรงนี้แล้วแค่นหัวเราะอยู่ในใจ พูดมานานสองนานนอกจากจะไม่ให้นางยืมเงิน ยังคิดจะมาเอาตำรับยาที่ท่านพ่อทิ้งไว้สมัยยังมีชีวิตไปจากนางอีก ช่างละโมบอะไรอย่างนี้!
นางแกล้งทำเป็นโง่ “แปลกจริง ยามีพิษที่พี่ใหญ่ทำขายก็ทำจากตำรับที่ท่านพ่อทิ้งไว้นี่ล่ะ ร้านยาก่วงจี้ต้องมาปิดตัวลงก็เพราะยานี้ เหตุใดท่านป้าถึงยังอยากได้อีกเล่า”
“เอ่อ…” ซย่าซื่อพยายามปั้นหน้ายิ้ม “นั่นเพราะพี่ชายเจ้าผสมยาผิดต่างหากเล่า ไม่ใช่ความผิดของตำรับยาเสียหน่อย อีกอย่างพ่อเจ้าก็ทิ้งตำรับยาที่ไม่มีปัญหาไว้ให้อีกหลายตำรับ ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อคนไข้ทั้งนั้น หากไม่นำออกมาใช้ก็น่าเสียดายแย่ จะได้ช่วยหาเงินให้พวกเจ้าด้วยอย่างไรล่ะ…”
ซย่าหมิ่นลุกขึ้นจากตั่ง แผ่นหลังบอบบางตรงแน่ว น้ำเสียงหนักแน่นทรงพลังในทุกคำ “เรื่องแต่งงานของข้าท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง เงินค่าเล่าเรียนของอาจื้อก็ไม่ต้องยืมท่านป้าแล้ว ข้าที่เป็นพี่สาวคนโตจะพยายามสุดความสามารถ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อส่งอาจื้อเรียนหนังสือ ข้าจะให้เขาสอบจ้วงหยวน*”
ความมุ่งมั่นของนางทำให้หญิงวัยกลางคนตะลึงงันไป พอจะพูดอะไรต่อก็เหลือบไปเห็นร่างดำๆ ตรงปลายเท้าเข้าเสียก่อน ซย่าซื่ออุทานลั่นด้วยความตกใจ “ว้าย…นั่นตัวอะไรน่ะ!” พอเห็นชัดว่าเป็นแมวก็ร้องเสียงแหลม “แมวดำเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร”
แมวดำ?! ซย่าหมิ่นก้มหน้าลงมอง แล้วก็ต้องตกใจเช่นกัน “มีมี เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”