ซย่าหมิ่นเห็นมีมีกินเอาๆ อย่างหิวโซ ถึงเพิ่งนึกออกว่าตัวนางและน้องๆ ยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จ จึงบอกให้ทั้งคู่รีบกินข้าวที่เหลือเสีย
เมื่อกินข้าวหมดแล้วนางก็มองรอบตัว ก่อนจะบอกอย่างฮึกเหิม “แถวนี้ข้ายังไม่เคยมา ดูแล้วน่าจะมีสมุนไพรดีๆ อยู่มาก มาหากันดีกว่า…”
ทั้งสามคนจึงเริ่มขุดหาสมุนไพรอีกครั้ง
ไม่นานนักซย่าหมิ่นก็ร้องอุทาน “สวรรค์! พวกเจ้ามาดูนี่เร็ว ข้าขุดเจอโสม ถึงจะแค่เหง้าเล็กๆ แต่เท่านี้ก็มีราคาแล้วนะ!”
น้องชายน้องสาวรีบเข้ามามุงดู พอเห็นสมุนไพรรูปร่างคล้ายมนุษย์เหง้านั้นก็ร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ “โสมจริงๆ ด้วย!”
“พี่ใหญ่ เพราะมีมีแท้ๆ ที่หาที่นี่เจอ เราถึงขุดได้โสม” ซย่าจื้อยิ้มร่า
“อย่าบอกนะว่ามีมีนำทางพวกเรามาเจอโสม” ซย่าเจวี้ยนคิดไปไกล
“มีมี เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ที่รู้ว่าที่นี่มีโสม” ซย่าหมิ่นหันมาชมเขา
ลิ่นจื่อเชินกินข้าวจนอิ่มหนำ กำลังเลียขนแต่งตัวอย่างสบายอารมณ์ ได้ยินสามพี่น้องพากันชมตนยกใหญ่ก็ด่าในใจว่าพวกโง่
ซย่าหมิ่นมองเหง้าโสมในมือพลางเอ่ยอย่างดีใจ “ข้าจะต้องใช้โสมเหง้านี้ให้คุ้มค่า ใช้ทำยาอะไรดีนะ…” ไม่สิ! นางกำลังพูดอะไรอยู่ นางรีบหันไปบอกน้องชาย “อาจื้อ พรุ่งนี้ข้าจะรีบนำโสมไปขาย แล้วจ่ายค่าเล่าเรียนให้เจ้า เจ้าจะได้ไปเรียนเสียที”
ตอนแรกพี่สาวบอกว่าจะเอาโสมมาทำยา แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนคำพูด เด็กหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วย ท่านอยากฟื้นกิจการร้านยาก่วงจี้มากกว่าใครทั้งหมด อยากเก็บโสมเหง้านี้ไว้ทำยารักษาคน แต่ต้องเอามันไปขายแลกเงินเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนให้ข้า…”
ซย่าหมิ่นตบไหล่เขาแรงๆ “พูดจาโง่เง่าอะไรของเจ้า เก็บโสมเหง้านี้ไว้จะทำอะไรได้ ไม่มีลูกค้ามาให้ตรวจเสียหน่อย เก็บไว้ก็เจ็บใจเปล่าเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือค่าเล่าเรียนของเจ้า แค่เราเอาโสมไปขาย เจ้าก็จะได้ไปเรียนหนังสือต่อแล้ว พี่ใหญ่ทำปากดีพูดกับท่านป้าไว้ว่าจะให้เจ้าสอบจ้วงหยวน ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจเรียนให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเข้าใจหรือไม่”
น้องชายพยักหน้าทั้งตาแดงๆ แล้วรับปากอย่างมุ่งมั่น “พี่ใหญ่ ข้าจะต้องสอบจ้วงหยวนให้ได้!”
ซย่าหมิ่นคลี่ยิ้มอย่างเบาใจ ก่อนจะหันไปหาน้องสาว “เจวี้ยนเอ๋อร์ พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าก็อยากเรียนหนังสือเช่นกัน ข้าจะหาวิธีหาเงินให้ได้มากกว่านี้ เจ้าจะได้ไปเรียนหนังสือด้วย”
ซย่าเจวี้ยนมีสีหน้าตกใจแกมยินดีเป็นอันดับแรก ทว่าหลังจากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ พี่ใหญ่ ข้าไม่ต้องเรียนหนังสือหรอก สตรีใช่จะสอบจ้วงหยวนได้ ข้าจะเรียนหนังสือไปไย…”
ซย่าหมิ่นตอบอย่างขันๆ “เจ้าเองก็พูดจาโง่เง่าเช่นกัน ถึงสตรีจะสอบจ้วงหยวนไม่ได้ แต่เรียนหนังสือเอาไว้ก็มีประโยชน์ต่อตนเอง สมัยก่อนท่านพ่อยังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้พวกเราอ่านออกเขียนได้เลย นี่ก็เพราะท่านพ่ออยากให้พวกเรามีความรู้ติดตัว หูตากว้างไกลกว่าสตรีทั่วไปอย่างไรเล่า เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ข้าก็จะส่งพวกเขาเรียนเช่นกัน ข้าอยากให้พวกเจ้ารู้หนังสือกันทุกคน”
ในยุคปัจจุบันประชาชนทุกคนจะต้องจบการศึกษาภาคบังคับ น่าเสียดายที่ในยุคนี้คนจนอยากเรียนหนังสือเป็นไปได้ยากยิ่ง แต่ซย่าหมิ่นไม่คิดจะยอมแพ้ที่จะให้น้องๆ หลานๆ ได้มีโอกาสร่ำเรียนเขียนอ่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพยายามทำให้ได้
“แต่พี่ใหญ่ เช่นนี้ท่านก็ลำบากแย่สิเจ้าคะ…” น้องสาวถามเสียงเครือ รู้สึกผิดต่อพี่ใหญ่ของตนอย่างสุดซึ้ง
ซย่าจื้อไม่ได้พูดอะไรอีกก็จริง แต่ดวงตาแดงเรื่อ บ่งบอกว่าสงสารพี่สาวมากเพียงไร เขาอยากโตเร็วๆ จะได้มีกำลังช่วยแบ่งเบาภาระนางบ้าง