แม้กิจการของร้านยาเหรินเต๋อจะดีเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองเฉาหยาง แต่ก็สู้ความยิ่งใหญ่ของร้านยาก่วงจี้สมัยที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ลำพังแค่ยอดขายชุดยาต้มก็เทียบกันไม่ติดแล้ว นางอยากให้กิจการของร้านยาเหรินเต๋อรุ่งเรืองยิ่งกว่าร้านยาก่วงจี้และสร้างกำไรให้ได้มากกว่านี้
หลี่คังถูกภรรยาเอ็ดก็ได้แต่ลูบจมูก
“ตำรับยาที่พ่อของนางทิ้งไว้หากไม่อยู่ในร้านยาก่วงจี้ก็ต้องอยู่ในบ้านของพวกนาง ไม่อย่างนั้นจะเอาไปเก็บไว้ที่ใดได้เล่า” ซย่าซื่อมุ่งมั่นจะเอาตำรับยามาครองให้ได้ พูดต่อไปอย่างเคร่งเครียด “เมื่อก่อนข้าเคยส่งคนไปค้นบ้านตอนที่พวกนั้นไม่อยู่ คราวก่อนที่นางเด็กนั่นมาขอยืมเงิน ข้าตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมนางให้แต่งงาน แล้วก็ให้อาจื้อเรียนทำการค้า ข้าจะได้อยู่ในฐานะผู้ดูแล แล้วครอบครองร้านยากับบ้านเพื่อจะได้ค้นหาตำรับยาได้สะดวก แต่นางเด็กนั่นปฏิเสธว่าไม่คิดจะแต่งงาน ไม่ให้ข้าเป็นห่วงนางเรื่องนี้ มันหัวไวขึ้นมาก ไม่จัดการง่ายเหมือนเมื่อก่อนที่ข้าสามารถบังคับให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกแล้ว…”
หลี่คังเสนอความคิด “ถ้าเกลี้ยกล่อมให้นางแต่งงานไม่ได้ ก็หาบุรุษสักคนมาตีสนิทกับนาง ทำให้นางหลงหน้ามืดตามัวจนเสียชื่อเสียง นางจะยังไม่ยอมแต่งอีกหรือ ข้ารู้จักพ่อค้าม่ายที่อยากแต่งงานใหม่อยู่ผู้หนึ่ง เด็กซย่าหมิ่นหน้าตาดี พ่อค้านั่นน่าจะยินดีรับเลี้ยงดูซย่าเจวี้ยนกับเด็กสองคนด้วยหรอก ส่วนซย่าจื้อในเมื่อชอบเรียนหนังสือ ส่งไปเรียนในเมืองหลวงเสียก็สิ้นเรื่อง เมื่อถึงเวลานั้น ซย่าหมิ่นออกเรือน จะหอบบ้านหอบร้านไปด้วยได้อย่างไร ซย่าจื้อก็อยู่ไกลบ้าน ต้องอาศัยญาติผู้ใหญ่อย่างพวกเราช่วยดูแลแทนอยู่แล้ว…”
หลี่คังงัดเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของพ่อค้าออกมาใช้อย่างเต็มที่กับแผนการนี้
ซย่าซื่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปจัดการเถิด ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี…”
ลิ่นจื่อเชินที่อยู่ใต้โต๊ะได้ยินหมดทุกอย่าง เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขนพองไปทั้งตัวด้วยความโกรธ คนต่ำช้าสองคนนี้วางแผนจะทำให้ชื่อเสียงของซย่าหมิ่นด่างพร้อย นางจะได้แต่งงาน จากนั้นตนเองก็จะเข้าไปยึดร้านกับบ้านของนางเพื่อค้นหาตำรับยาของร้านยาก่วงจี้ เอาไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนห่อออกวางขายใหม่ ฝันไปเถิด!
โดยไม่รู้ตัว ลิ่นจื่อเชินเกิดความรู้สึกอยากปกป้องคนสกุลซย่า ไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแก
แน่นอนว่าเขายังไม่ยอมรับ เขาบอกกับตนเองว่าบ้านสกุลซย่าคืออาณาเขตของเขา ส่วนคนในบ้านทั้งหมดก็เป็นทาสแมวของเขา ปล่อยให้คนอื่นมารังแกทาสแมวของตนเองก็เท่ากับให้คนอื่นเหยียบหัวเขาชัดๆ ยิ่งกับซย่าหมิ่นด้วยแล้วยิ่งแตะต้องไม่ได้!
จากนั้นเขาก็นึกออกทันทีว่าวันรุ่งขึ้นตนจะเดินทางกลับเมืองหลวง เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ เขาต้องรีบเตือนซย่าหมิ่นโดยเร็ว
แมวดำออกจากใต้โต๊ะแล้ววิ่งผ่านห้องโถงของโรงเตี๊ยมโดยไม่สนใจว่าจะถูกเห็น ลูกค้ากับเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกอาหารออกมาตกใจไปตามๆ กัน เสียงก่นด่าดังไม่ขาดหู
“แมวดำมาจากที่ใดน่ะ!”
“เร็วเข้า ไล่มันออกไป!”
หลังออกจากโรงเตี๊ยมเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปหาซย่าหมิ่นในอึดใจเดียว แต่พอไปถึงริมถนนที่นางตั้งแผงประจำกลับพบว่านางไม่อยู่ เขาเลยต้องวิ่งกลับบ้านสกุลซย่า เห็นแต่ป้าอิ๋นฮวากำลังทำงานเย็บปักอยู่ในห้องโถง ลองวิ่งไปดูที่ห้องของซย่าหมิ่นก็พบว่าไม่อยู่อีก ทีนี้เขาวิ่งไปที่ห้องเด็กๆ พบว่าซย่าเจวี้ยนกำลังนอนกลางวันอยู่กับหลานๆ แต่ไม่เห็นซย่าหมิ่น เวลาอย่างนี้นางอยู่ที่ใดได้นะ
หลังจากวิ่งหาอยู่หลายห้องเขาก็กลับมาเจอป้าอิ๋นฮวา หญิงสูงวัยเห็นเขาวิ่งไปวิ่งมาเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ก็ก้มตัวลงมาถาม “มีมี เจ้าหาอะไรอยู่หรือ”
“เมี้ยวๆๆๆ” ลิ่นจื่อเชินบอกว่าเขากำลังตามหาซย่าหมิ่น แต่เสียงที่เปล่งออกมามีแค่เสียงร้องของแมว
ป้าอิ๋นฮวามองเขาอย่างอารี “เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์นอนอยู่ในห้องแน่ะ”
“เมี้ยวๆๆๆ” เขาไม่ได้หาตัวซนสองคนนั้น เขาหาซย่าหมิ่น!
“หาคุณหนูหมิ่นอยู่หรือ”
คราวนี้นางเดาถูก
“เมี้ยวๆ” ใช่ นางอยู่ที่ใด