ภายในจวน หลี่ชีฉือนั่งลงตรงหน้ากระจก
นานเต็มทีแล้วที่ไม่ได้ใช้เงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ในคราวเดียว ครั้งสุดท้ายที่ใช้เงินมากเท่านี้คือตอนที่ช่วยพี่ชายส่งสินบรรณาการให้ฮ่องเต้ ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
นางถือสมุดบัญชีมือหนึ่ง อีกมือถือพู่กันลากเส้นขีดฆ่าหลายเส้น ก่อนจะปิดสมุดส่งให้ชิวซวง
รอยยิ้มในดวงตาของผู้เป็นนายทำให้สาวใช้ถามขึ้นอย่างกังขา “เสียเงินไปมากถึงเพียงนี้แท้ๆ เหตุใดยังดูอารมณ์ดีได้อีกเล่าเจ้าคะ” ทำเหมือนไม่ได้เสียเงิน แต่หาเงินมาได้มากกว่าอย่างไรอย่างนั้น
หลี่ชีฉือหัวเราะเบาๆ “เสียเงินไปอย่างคุ้มค่าย่อมต้องอารมณ์ดีอยู่แล้ว”
เสียเงินไปกับชายผู้นั้น ต่อให้มากเพียงใดก็คุ้ม
เขามีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ในมือ เพียงแต่อยู่ในสภาพติดขัดไร้ทางออกเยี่ยงมังกรเกยหาดตื้น* ในเมื่อใช้เงินแก้ปัญหาได้ เหตุใดจะไม่น่ายินดีเล่า
การจ่ายเบี้ยหวัดในกองทัพกินเวลาอยู่นาน
หลัวเสี่ยวอี้เบาโล่งไปทั้งตัวเมื่อหมดปัญหาหนักอกไปอย่างหนึ่ง
เย็นวันนั้นเขาตามฝูถิงกลับจวนไปขอฝากท้องอย่างไร้ยางอายตามเคย
ตามความคิดของเขา เขาทั้งช่วยพี่สะใภ้ ทั้งช่วยพี่สาม ย่อมเป็นผู้มีความดีความชอบอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นคืนนี้ต้องขอดื่มกับพี่สามสักจอกให้ได้
เมื่อเขาเดินเข้าจวนมาไม่ทันไรก็เจอหลี่เยี่ยนที่เพิ่งเลิกเรียนเข้าโดยบังเอิญ
ซื่อจื่อน้อยสวมเสื้อนวมเดินออกมาจากข้างในเรือน ยังถือหนังสืออยู่ในมือหลายเล่ม
หลัวเสี่ยวอี้จะทำเป็นมองไม่เห็นก็ไม่ได้ จึงประสานมือคำนับ “ซื่อจื่อ”
หลี่เยี่ยนมองเขา ก่อนจะเลื่อนสายตามองเลยไปข้างหลัง แล้วเอ่ยเรียก “ท่านอาเขย”
ฝูถิงเพิ่งจะส่งม้าให้บ่าวจูงออกไป หันมาเห็นเด็กชายก็พยักหน้าให้
เป็นอีกครั้งแล้วที่หลี่เยี่ยนได้รับท่าทีเช่นนี้จากชายหนุ่ม พอนึกถึงคำที่ท่านอาหญิงเคยกล่าวไว้ว่าสามีเป็นคนเช่นนี้เอง เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี ได้แต่คำนับแล้วเดินจากไป
หลัวเสี่ยวอี้หันกลับมาชมเปาะ “พี่สาม ซื่อจื่อน้อยผู้นี้น่าสนใจดีแท้ ข้าเคยล่วงเกินเขา แต่เจอกันทีไรเขาไม่ยักทำปั้นปึ่งใส่ข้า แสดงว่าพี่สะใภ้สอนมาดี”
ฝูถิงปรายตามองคนสนิท ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสนิทสนมกับหลี่ชีฉือถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้ขยันเรียกพี่สะใภ้กว่าใคร
“ก็เป็นถึงซื่อจื่อนี่นะ” เขาเอ่ยตอบ
หลัวเสี่ยวอี้ถอนหายใจเฮือก ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงไพล่คิดไปถึงเรื่องอื่นได้ “หากพี่สะใภ้กับพี่สามได้อยู่ด้วยกันเร็วกว่านี้ คงมีเจ้าตัวเล็กจนวิ่งได้แล้ว ดีไม่ดีอาจโตพอให้ข้าพาไปขี่ม้าด้วยซ้ำ”
ภาพซอกคอขาวผ่องกับปลายนิ้วนุ่มละมุนของสตรีผู้นั้นผุดขึ้นมาในมโนนึกของฝูถิงอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอ่ยย้อนในใจว่า แค่จะแตะต้องนางยังไม่เคย แล้วจะมีเจ้าตัวเล็กจากที่ใดได้เล่า
ฝูถิงโยนแส้ม้าไปให้อีกฝ่าย “ไสหัวไปผิงไฟเสียไป”
หลัวเสี่ยวอี้คว้าหมับ แล้วเดินออกไปด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
คนสนิทเพิ่งจะลับตัว บ่าวผู้หนึ่งก็นำความมารายงาน เห็นว่ามีพ่อค้าผู้หนึ่งมาขอพบขุนพลหลัวอยู่ข้างนอก เนื่องจากเมื่อตอนกลางวันเจ้าตัวนำใบเงินหลวงไปขึ้นเงินสด แต่ขึ้นไม่ทันครบก็ไปเสียก่อน ท่าทางดูรีบร้อนมาก ตนจึงตามมาเชิญให้ไปรับเงินส่วนที่เหลือ
ฝูถิงนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้บ่าวไปจูงม้าออกมาใหม่ แล้วไปจัดการด้วยตนเองโดยไม่เรียกน้องชายร่วมสาบาน