หลี่ชีฉือใช้ปลายนิ้วสองนิ้วลูบไล้ขอบถ้วยชาไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอเห็นว่ามีคนทำท่าจะเดินเข้ามาหลังฉากบังตา นางก็สะบัดข้อมือโยนถ้วยชาใส่
ถ้วยกระเบื้องตกแตกดังเพล้ง คนผู้นั้นชะงักเท้า แล้วถอยกลับออกไปด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มข้างนอกอุทานออกมาด้วยความทึ่ง “หึ! อารมณ์ร้ายเสียด้วย”
พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินเข้ามาตรวจดูด้วยตนเอง แต่ยังไม่ทันได้เฉียดใกล้ฉากบังตา เสียงตวาดก็ดังขึ้น “โอหัง!”
นี่เป็นเสียงของหลี่เยี่ยน
เนื่องจากมีฉากบังตาขวางกั้น หลี่ชีฉือจึงไม่ทันมองว่าร่างของหลานชายเข้ามาในห้องได้อย่างไร เห็นเพียงแต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นผลักเขาให้พ้นทาง น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดรำคาญใจยิ่งกว่าเก่า “เด็กที่ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเนี่ย พวกเราไม่มีเวลาจะเล่นกับเจ้าหรอกนะ!”
คำพูดสะดุดลงเพียงเท่านั้น พร้อมกับที่สรรพเสียงรอบตัวเงียบหายในทันใด
คนหนุ่มผู้นั้นร้องออกมาว่า “พี่สาม เหตุใดถึงเข้ามาเองเลยเล่า”
ใครอีกคนเดินเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นสามสี่ก้าว
คนที่อยู่หน้าฉากบังตาขยับตัวเปิดทางให้ผู้มาใหม่
หลี่เยี่ยนแผดเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นมาอีก “โอหัง! ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในนี้” ทว่าน้ำเสียงสั่นพร่าคล้ายหวาดกลัว ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งแขนเอาไว้
“มีแต่ในนั้นที่ยังไม่ได้ค้น” คนหนุ่มผู้นั้นบอก
หลี่ชีฉือเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ได้รางๆ
นางรู้แต่แรกแล้วว่าอาจห้ามคนพวกนี้ไม่ได้ จึงชิงสวมหมวกม่านแพรปิดบังใบหน้าไว้ก่อน
คนผู้นั้นเดินวนรอบตัวนางสักพัก สุดท้ายก็หยุดยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว
นางหลุบตาต่ำ มองลงไปจากชายผ้าแพรเห็นแค่เพียงรองเท้าหุ้มแข้งสีดำที่เย็บจากหนัง กระชับรอบท่อนขาแข็งแรงกำยำของอีกฝ่าย
แสงเย็นเยียบพลันสว่างวาบ ปลายกระบี่เล่มหนึ่งจ่อเข้ามาตรงหน้า ทีนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่หลี่เยี่ยนถึงได้มีท่าทางหวาดกลัว เป็นเพราะคนผู้นี้ถือกระบี่เดินเข้ามาในห้องนี่เอง
ปลายกระบี่เลิกชายผ้าแพรคลุมหมวกขึ้น จากนั้นคางมนก็เย็นวาบเมื่อถูกอาวุธโลหะช้อนขึ้นให้แหงนเงย
หลี่ชีฉือประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางหลุบตามองปลายจมูกตนเองและกลั้นหายใจ
กระบี่ถูกดึงกลับไป
แต่ก็หลังจากนั้นสักอึดใจหนึ่ง
หญิงสาวยกมือกุมปลายคาง มืออีกข้างดึงแพรคลุมหมวกลงมาใหม่ แล้วผินหน้าไปด้านข้างอีกครั้ง
ดีที่คนผู้นี้มือนิ่ง ปลายกระบี่จึงไม่ทำให้นางได้แผล
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างนอกรีบถามขึ้นเพราะเห็นท่าทางผิดปกติ “อย่าบอกนะว่าเป็นนาง”
ประโยคนั้นทำให้คนที่เหลือแตกฮือ กรูเข้าใส่ฉากบังตาพร้อมกัน
หางตาแลเห็นไวๆ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้ายกมือปราม หลี่ชีฉือจึงเหลือบตามอง พบว่าเขามีฝักกระบี่เปล่าๆ ห้อยอยู่ข้างเอว ทั้งเนื้อทั้งตัวไร้เครื่องประดับอื่น
ร่างของกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกหยุดชะงัก ไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านี้
คนผู้นั้นเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ สองสามก้าว แต่นางจงใจเบือนหน้าหลบ จนแล้วจนรอดก็ไม่หันไปมอง
จากนั้นเขาก็เดินออกไป
เมื่อหลี่ชีฉือมองไปอีกครั้งก็เห็นว่าเขาเหมือนจะหยุดยืนตรงหน้าหลี่เยี่ยนครู่หนึ่ง
“ไป” เขาโพล่งขึ้น
คนหนุ่มผู้นั้นปล่อยแขนหลานชายนางเดินตามไป คนที่เหลือก็กรูกันออกไปเช่นกัน
หลี่เยี่ยนวิ่งเข้ามาด้านหลังฉากบังตาแล้วทิ้งตัวลงซบตักนาง “ท่านอาหญิง บาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่ขอรับ”
หลี่ชีฉือจับมือหลานเอาไว้ ถอดหมวก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ยังพูดอะไรไม่ออก
แม้จะแอบทำการค้าลับๆ มานานปี แต่นางไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกใครถือกระบี่ช้อนคางเช่นนี้มาก่อน
ความขึงขัง เฉียบขาด รวบรัดฉับไวเมื่อครู่ดูเป็นวิสัยนายทหารทุกประการ
ทหารแดนเหนือทั้งหมดล้วนอยู่ในสังกัดกองทัพพิทักษ์อุดร
หรือจะเป็น…
หญิงสาวขมวดคิ้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเดาถูกหรือไม่