กว่าซินลู่กับชิวซวงจะจัดการงานที่ผู้เป็นนายมอบหมายให้เรียบร้อยแล้วกลับโรงเตี๊ยม ก็จวนใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมืองเต็มที
ระหว่างทางทั้งคู่เห็นคนกลุ่มหนึ่งพกอาวุธขี่ม้าออกจากเมือง มุ่งหน้าไปทางที่พักของพวกตน
ซินลู่ผู้ซึ่งมีความคิดอ่านละเอียดถี่ถ้วนกว่าพูดขึ้นกับชิวซวง “หวังว่าจะไม่ไปยุ่มย่ามกับโรงเตี๊ยมนะ”
ชิวซวงหาว่านางตีตนไปก่อนไข้ หากคนกลุ่มนี้เป็นคนร้าย ตอนพกอาวุธขี่ม้าผ่านมาคงปล้นชิงรถม้าไปแล้ว แต่นี่ไม่ชายตามองพวกนางสองคนด้วยซ้ำ แล้วจะบุกปล้นโรงเตี๊ยมได้อย่างไร
ปรากฏว่าทั้งคู่เพิ่งกลับมาถึงที่พัก ก็ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากหวังหมัวมัว มิน่าเล่าอยู่ๆ แขกในโรงเตี๊ยมถึงได้บางตาลงมาก คงหวาดกลัวจนหนีไปกันหมด
ซินลู่หันไปขึงตาใส่ชิวซวง ทว่าชิวซวงก็กำลังขึงตามองนางอยู่เช่นกัน
นางหาว่าชิวซวงชะล่าใจ ส่วนชิวซวงก็หาว่าเป็นเพราะนางพูดจาไม่เป็นมงคล
ในห้องพักของโรงเตี๊ยม หลี่ชีฉือกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว
หลายชั่วยามมานี้ หลี่เยี่ยนคอยเฝ้าตามติดนางไม่ยอมห่าง
จนบัดนี้หลี่ชีฉือก็ยังไม่ได้ว่ากล่าวหลานชายแม้แต่คำเดียว ด้วยเหตุกะทันหันที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความจริงนางควรต้องตำหนิติเตียนความมุทะลุบุ่มบ่ามของเขาบ้าง แต่ลองคิดๆ ไป ยากยิ่งที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้สักครั้ง แล้วยังต้องตำหนิเขาไปไยเล่า
ช่างเถิด…
ซินลู่กับชิวซวงรีบร้อนเดินเข้ามาดู พอเห็นว่าผู้เป็นนายทั้งสองปลอดภัยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพิ่งจะยืนพักกันได้ไม่ทันไร เสียงม้าร้องก็พลันดังขึ้นข้างนอก ทำเอาทุกคนตกใจกันถ้วนหน้า
“เกิดอะไรขึ้น นี่ประตูเมืองก็ปิดแล้ว ยังจะมีใครมาที่นี่อีกหรือ”
ซินลู่เดินฉับๆ ออกไปดู ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมมีกองทหารขี่ม้าเข้ามาตั้งแถวสองแถว ดูแตกต่างจากกลุ่มเมื่อตอนกลางวัน เพราะแต่ละคนแต่งชุดเครื่องแบบ ถือคบไฟในมือ เห็นชัดว่าเป็นทหารในกองทัพ
ตรงกลางระหว่างแถวทหารคือรถม้าเทียมอาชาสีขาวปลอดสี่ตัว
คนหนุ่มผู้หนึ่งชักม้าออกจากแถว ตวัดตัวลงจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม
ซินลู่เห็นอีกฝ่ายเดินดุ่มๆ มาทางนี้ก็รีบวิ่งกลับห้องไปรายงานผู้เป็นนาย
“นายหญิง เขาเดินตรงมาทางห้องพักของนายหญิงเจ้าค่ะ”
หลี่ชีฉือนิ่งคิด “ขออย่าให้เป็นคนเดิมอีกก็แล้วกัน”
หลี่เยี่ยนได้ยินดังนั้นก็เดินออกไปดูตรงประตู เห็นชายผู้นั้นเดินอาดๆ มาทางนี้ ท่านอาหญิงทายถูก เป็นบุรุษคนเดียวกับที่บุกเข้ามาเมื่อตอนกลางวันจริงๆ
เด็กชายเบิกตากว้าง “เหตุใดถึงเป็นเจ้าอีกแล้ว!”
คนผู้นั้นเห็นเขาเข้าก็หลบตาวูบ ใช้นิ้วลูบจมูกเก้อๆ ไม่ส่งเสียง
จวบจนเดินมาถึงหน้าประตูจึงค่อยถลกชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าข้างเดียว ประสานมือคำนับ “ข้าน้อยหลัวเสี่ยวอี้ มาที่นี่เพื่อน้อมส่งเซี่ยนจู่เข้าจวนโดยเฉพาะขอรับ”
หลี่ชีฉือที่อยู่ในห้องได้ยินอย่างชัดเจน “รับคำสั่งใครมา”
“ท่านผู้บัญชาการแห่งกองบัญชาการฮั่นไห่ขอรับ”
นางบอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรดีที่ดันบังเอิญทายถูก คนเหล่านี้เป็นทหารของกองทัพพิทักษ์อุดรจริงๆ
บางทีอาจไม่เพียงเท่านั้น
“ครานี้คงมีหลักฐานยืนยันเสียทีกระมัง”
หลัวเสี่ยวอี้ชะงัก ก่อนจะหน้าม้านเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่นางพูดเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้ จึงเสกระแอมแห้งๆ “ครานี้มีแล้วขอรับ คนที่เดินเข้าไปด้านในฉากบังตา…คือตัวท่านผู้บัญชาการเอง”