บทที่ 10
ตอนที่หลี่ชีฉือเดินกลับเรือน หลี่เยี่ยนก็นั่งอยู่ในนั้นแล้ว วันนี้เด็กชายสวมเสื้อนวมสีฟ้าอ่อน ใบหน้าขาวอมชมพูระเรื่อประหนึ่งแกะสลักขึ้นจากหยก ดูราวกับก้อนหิมะแดนเหนืออย่างไรอย่างนั้น
เขาตั้งใจมากินข้าวเป็นเพื่อนอาสาวหลังเลิกเรียน
หลี่ชีฉือเห็นหลานชายอยู่ด้วยก็ยกแขนเสื้อขึ้นป้องปาก บดบังรอยยิ้มบางๆ ที่ได้มาจากห้องหนังสือเอาไว้
ซินลู่กับชิวซวงเดินเข้ามาจัดโต๊ะอาหาร
หลี่เยี่ยนนั่งนิ่ง จนป่านนี้ก็ยังไม่เรียก ‘ท่านอาหญิง’ สักคำ เอาแต่ก้มหน้าน้อยๆ ท่าทางใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลี่ชีฉือสังเกตเห็นว่าหลานชายแปลกไป พอนั่งลงจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
ซินลู่รีบก้าวเข้ามากระซิบกระซาบเบาๆ ข้างหู
นางฟังแล้วหัวใจพลันหนักอึ้ง
ระหว่างเสาะหาสมุนไพรให้ฝูถิงครานี้ ฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งอ๋องสองคนพอดี ข่าวนี้มาพร้อมกับคนส่งยาจนรู้ถึงหูหลี่ชีฉือ ดังนั้นนางจึงรู้แต่แรกแล้ว
ปรากฏว่าวันนี้ซินลู่กับชิวซวงพูดคุยเรื่องดังกล่าวกันในห้อง แล้วหลี่เยี่ยนเดินมาได้ยินเข้าพอดี
ฮ่องเต้ปล่อยตำแหน่งกวงอ๋องให้ว่างเว้น เอาแต่ผัดผ่อนไม่แต่งตั้งหลี่เยี่ยนขึ้นสืบทอด แต่กลับไปประกาศแต่งตั้งคนอื่นแทน จะให้กวงอ๋องซื่อจื่ออย่างเขารู้สึกเช่นไร
หลังโต๊ะจัดเสร็จแล้ว อาหารถูกยกมาวางครบครัน หลี่ชีฉือหยิบตะเกียบขึ้นมาพลางว่า “ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอะไรอยู่ได้ กินข้าวเถิด”
หลี่เยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นอาแล้วทำคอตกดังเดิม สีหน้าของเขาไม่อาจเรียกได้ว่า ‘หน้านิ่วคิ้วขมวด’ เพียงแต่ติดจะเศร้าหมองเท่านั้น “หลานแค่คิดว่าท่านพ่อกับท่านอาหญิงทุ่มเทแรงกายแรงใจรักษาตำหนักกวงอ๋องไว้อย่างยากลำบาก แต่พอตกมาถึงรุ่นหลานกลับสืบทอดต่อไปไม่ได้ คิดแล้วก็ให้ละอายนัก”
หลี่ชีฉือถือตะเกียบค้าง หลานชายโตจนรู้ความแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แน่นอนว่านางนึกสงสารเขา แต่ใบหน้ากลับคลี่ยิ้ม
ถึงอย่างไรเขาก็ยังเยาว์ด้วยวัย จึงไม่ตระหนักถึงความใจดำของโอรสสวรรค์
นับตั้งแต่ตัดสินใจมาอยู่ข้างกายชายผู้นั้นที่นี่ นางก็ไม่คาดหวังความเมตตาจากฮ่องเต้อีกต่อไปแล้ว
หากประสงค์สิ่งใด มีแต่ต้องอาศัยมือตนเองไขว่คว้ามาครองเท่านั้น
อย่างน้อยตำแหน่งกวงอ๋องก็ยังอยู่ หากมีแรงค้ำจุนจากขุนศึกฝ่ายเหนือหนุนหลัง สักวันโอกาสต้องมาถึง นางจะได้ไม่ผิดต่อคำฝากฝังก่อนตายของพี่ชาย
ขอเพียง…ได้หัวใจชายผู้นั้นมาครอง…
หลี่ชีฉือมองหลานชาย แสร้งทำหน้าเฉียบขาด “ว่าไปแล้วก็ต้องโทษซินลู่กับชิวซวงที่ปากมาก วันนี้อาเห็นจะต้องทำโทษพวกนางสักที”
สาวใช้ทั้งสองได้ยินผู้เป็นนายกล่าวเช่นนั้นก็ทิ้งตัวลงคุกเข่า เอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียงทันที “จริงเจ้าค่ะ ต้องโทษที่พวกบ่าวปากเปราะจนทำให้ซื่อจื่อหม่นหมองในอารมณ์เช่นนี้”
หลี่เยี่ยนมีนิสัยอารีอารอบเหมือนอย่างผู้เป็นอา รู้ว่าท่านอาหญิงจงใจพูดให้ตนคลายความหดหู่ จึงรีบลุกไปประคองทั้งสองขึ้นจากพื้น
“ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านอาหญิงอย่าตำหนิพวกนางเลยขอรับ หลานไม่คิดแล้วก็ได้” พูดจบเขาก็กลับมานั่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างว่าง่าย
หลี่ชีฉือค่อยยอมคีบอาหารต่อ
เด็กชายกินผักไปสองคำ ผักจานนี้ใช้มีดฝานเป็นแผ่นแล้วแกะสลัก จับวางตั้งเป็นชิ้นๆ บนจาน รูปร่างเหมือนง้าวทอง เห็นแล้วอดจะนึกไปถึงชายหนุ่มผู้เป็นอาเขยไม่ได้
ไม่ทันไรหลี่เยี่ยนก็เรียกกำลังใจกลับคืนมาพลางเอ่ยว่า “ท่านอาหญิงวางใจเถิดขอรับ ต่อไปหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจริงๆ หลานจะมุมานะจนได้ตำแหน่งคืนมาทีละนิดเหมือนอย่างท่านอาเขย”
หลี่ชีฉือยิ้ม “ขอเพียงเจ้ายังแซ่หลี่ก็ไม่มีวันต้องบากบั่นสร้างตัวจากมือเปล่าหรอก อีกประการหนึ่ง…”
ประโยคขาดตอนแค่นั้น ไม่ได้พูดต่อจนจบ
อันที่จริงนางตั้งใจจะพูดว่า ‘อีกประการหนึ่ง คนเก่งอย่างท่านอาเขยของเจ้านั้น นานปีถึงจะหาได้สักคน’
เป็นทหารตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วสร้างผลงานด้วยการออกศึกสงครามสู้รบกับศัตรู ได้เลื่อนตำแหน่งแบบก้าวกระโดดสามขั้นในปีเดียว จนถึงปัจจุบันก็มีเพียงผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมีวันนี้
นางคลึงตะเกียบระหว่างปลายนิ้ว หวนนึกไปถึงใบหน้าเครียดขรึมเกร็งแน่นที่ได้เห็นในห้องหนังสือ
ความคิดเริ่มเตลิดล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย แววตาไหวระริกโดยไม่รู้ตัว
นึกไม่ออกจริงๆ ว่าวันหนึ่งเมื่อบุรุษเช่นเขาตกอยู่ในอ้อมกอดสตรีจะเป็นเช่นไร