บทที่ 1
ต้นหญ้าบนทุ่งกว้างเหลืองแห้งดูเวิ้งว้างหนาวเหน็บ
เจียงหานหยวนยืนอยู่บนเชิงเทิน ทอดสายตามองหมู่บ้านบนเนินเขาทางเหนือที่เห็นอยู่ลิบๆ
เปลวไฟที่นั่นดับมอดลงแล้ว ทว่าบ้านเรือนได้ถูกเพลิงเผาผลาญจนเหลือเพียงเศษซาก สายลมจากทุ่งร้างทางเหนือพัดกระโชกผ่านหมู่บ้าน ไล่เรียดไปตามสันเขา ส่งเสียงหวีดหวิวสูงต่ำดุจหวนไห้กังวาน
ที่แห่งนี้ถูกชาวตี๋ บุกโจมตีช่วงฟ้าสางเมื่อเช้า
ผู้รุกรานเป็นกองทหารม้าจำนวนร่วมร้อย อาศัยความมืดมิดของรัตติกาลหลบเลี่ยงแนวชายแดนอ่อนไหวที่มีการรักษาการณ์อย่างแน่นหนา ลอบเข้ามาทางบริเวณหอส่งสัญญาณที่อยู่ห่างจากที่นี่หลายสิบหลี่
นายกองควันสัญญาณประจำหอส่งสัญญาณอยู่กินกับแม่ม่ายคนหนึ่งในหมู่บ้าน ปีนี้เพิ่งได้บุตรสาว บังเอิญเหลือเกินที่เมื่อคืนเขาแอบกลับหมู่บ้านโดยพลการ ทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาไว้เฝ้าหอจุดไฟสัญญาณเพียงสองคน พื้นที่แถบนี้สงบเงียบมานานจนทุกคนชะล่าใจ ทหารรักษาการณ์สองนายนั้นฉวยโอกาสอู้งานดื่มสุรา กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดเหตุก็สายไปเสียแล้ว
ทหารม้าชาวตี๋อาศัยความมืดมิดพรางตัวลอบเคลื่อนไหวและมาถึงที่นี่ช่วงรุ่งสาง
กองทหารม้าเป่ยตี๋เหล่านี้มักเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ หลังปล้นชิงเสร็จ อะไรเอาไปไม่ได้ก็เผาทิ้ง
ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามบ้านเรือนก็ถูกเผาไปกว่าครึ่ง ทรัพย์สินถูกปล้น สตรีถูกจับเป็นเชลยสิบกว่าคน จำนวนไล่เลี่ยกับบุรุษที่ต้องสังเวยชีวิตใต้เกือกม้าผู้รุกรานเพราะหนีไม่ทัน
เจียงหานหยวนผ่านมาแถบนี้โดยบังเอิญ
เดิมทีครานี้นางออกเดินทางไปเยี่ยมญาติที่เมืองอวิ๋นลั่ว อาศัยพักแรมตามริมทางเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว วันนี้เริ่มออกเดินทางต่อตั้งแต่ยามโฉ่ว ช่วงฟ้าสางมาถึงบริเวณนี้ก็เห็นควันดำหนาทึบลอยโขมงมาแต่ไกล
แม้ว่ากลุ่มควันดังกล่าวไม่เหมือนควันสัญญาณที่คุ้นเคย กระนั้นนางก็ยังหยุดม้าเพื่อไปตรวจดูตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบส่งคนไปแจ้งกองของหลี่เหอที่รักษาการณ์พื้นที่แถบนี้ให้นำกำลังหนุนมาโดยด่วน สั่งเสร็จก็มิได้หยุดพักแม้แต่อึดใจเดียว เร่งนำทหารม้ายี่สิบสี่นายไล่ตามร่องรอยที่ทหารม้าชาวตี๋ทิ้งไว้ระหว่างทางหนีขึ้นเหนือ จวบจนบ่ายคล้อยชาวตี๋ผ่อนคลายขึ้นเพราะคิดว่าหนีเข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว
หลายปีที่ผ่านมาเมื่อใดกองกำลังรักษาชายแดนต้าเว่ยพบเจอเหตุปล้นชิงเล็กๆ ทำนองนี้ก็มักปล่อยให้ชาวตี๋หนีไปได้อย่างลอยนวล เพราะพิจารณาปัจจัยต่างๆ แล้ว การส่งกำลังพลไล่ล่ามีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาวตี๋เหิมเกริมล่วงล้ำเขตแดนเข้ามาก่อเหตุครั้งแล้วครั้งเล่า
อีกประการหนึ่งต่อให้ชาวเว่ยไล่ล่าจริงก็ไม่มีทางตามทันเร็วถึงเพียงนี้ กองทหารม้าเป่ยตี๋บุกโจมตีและถอยหนีมาหนึ่งคืน ทั้งหิวกระหายและเหนื่อยล้าเป็นกำลัง จึงพากันลงจากหลังม้า ปลดดาบพักผ่อน พร้อมถือโอกาสข่มเหงสตรีที่จับเป็นเชลยเยี่ยงสัตว์ป่าเพื่อความรื่นเริงใจ ระหว่างกำลังสำเริงสำราญอยู่นั้น เจียงหานหยวนและผู้ติดตามก็บุกเข้าโจมตีรวดเร็วปานทหารเทพดุจสายฟ้าฟาดผ่า นางยิงธนูปลิดชีพหัวหน้าเป็นอันดับแรก ก่อนจะควบม้าบุกตะลุยเข้าไปหวดอาวุธใส่ตลอดทาง ชาวตี๋ที่ไม่ทันตั้งตัวแม้แต่นิดล้มหัวหกก้นขวิดทั้งคนและม้า พากันตั้งรับศึกอย่างลนลาน กระนั้นก็ยังบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ประกอบกับไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีกองหนุนตามมาข้างหลังอีกกี่มากน้อย ไม่ทันไรจึงเลิกต้านศึกแล้วหนีเอาชีวิตรอดแทน
นายทหารวัยกลางคนรูปร่างบึกบึนหนวดเคราเฟิ้มเดินลิ่วๆ ขึ้นเนินมาหยุดอยู่ข้างหลังนางแล้วรายงานว่า “ทรัพย์สินที่นำกลับมาถูกตรวจนับและแบ่งสรรคืนเจ้าของแล้วขอรับ พวกสตรีก็มีครอบครัวมารับกลับไป หลี่เหอเข้ามารับช่วงจัดการเรื่องหลังจากนี้แล้ว พวกชาวบ้านซาบซึ้งใจเป็นอันมาก เมื่อครู่จะขอขึ้นมาโขกศีรษะขอบคุณท่านแม่ทัพ แต่ผู้น้อยปฏิเสธแทนให้แล้ว”
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีนามว่าฝานจิ้ง เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคู่ใจของเจียงหานหยวน
“อาการบาดเจ็บของพวกชีหลางเป็นอย่างไรบ้าง” นางหันไปถาม