บทที่ 2
ยามนั้นค่ายซีสิงถูกปกคลุมอยู่ในความมืด ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย นอกจากยามลาดตระเวนตอนกลางคืน ทหารทั้งหมดล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว
เจียงหานหยวนเดินผ่านกระโจมหลังแล้วหลังเล่าจนมาหยุดลงตรงหน้ากระโจมหลังใหญ่อันเป็นที่พักของบิดา
แสงตะเกียงลอดออกมาจากรอยแยกประตูกระโจม นางไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่หยุดรออยู่ข้างนอก สั่งให้ทหารยามเข้าไปรายงานก่อน
“เชิญท่านแม่ทัพขอรับ”
เพียงครู่เดียวทหารยามก็กลับออกมาบอกอย่างนอบน้อม
เจียงหานหยวนถึงค่อยเดินเข้าไป
ภายในกระโจมไม่มีคนอื่นนอกจากบิดาที่สวมชุดลำลองของกองทัพนั่งตัวตรงแหน็ว กำลังจุดตะเกียงอยู่หลังโต๊ะ
ถึงแม่ทัพใหญ่ติ้งอันโหวเจียงจู่วั่งกรำศึกจนเลื่องชื่อลือชา ทว่ามิได้รูปร่างบึกบึนกำยำหนวดเคราเฟิ้มเยี่ยงขุนศึกที่ผู้คนนึกภาพไว้แม้แต่นิดเดียว
เขามีใบหน้าคมสัน คิ้วดุจกระบี่ นัยน์ตาหงส์ เมื่อครั้งยังหนุ่มเรียกได้เต็มปากว่าบุรุษรูปงาม เพียงแต่บัดนี้การใช้ชีวิตอย่างโชกโชนได้ทิ้งร่องรอยไว้กับสังขาร แม้เห็นไม่ชัดนักภายใต้แสงตะเกียง กระนั้นความชราและความอิดโรยบนใบหน้าก็ยังปกปิดไม่มิด
สมัยวัยหนุ่มเขาเคยถูกธนูยิงจนอวัยวะภายในเสียหาย หวิดเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาอาศัยความแข็งแรงของร่างกายผ่านมาได้ก็จริง แต่หลายปีมานี้อายุเพิ่มขึ้น ยิ่งเจออากาศหนาวเย็นที่ชายแดน แผลเก่าจึงกำเริบอยู่เนืองๆ มีอาการทีไรจะเจ็บปวดทรมานไม่น้อย แต่เพราะเขาเป็นคนแกร่ง ความอดทนสูง จึงมีคนรู้อยู่ไม่กี่คน
พอเห็นบุตรสาวเดินเข้ากระโจมมาเจียงจู่วั่งก็รีบลุกจากโต๊ะก้าวไปหานาง
“ซื่อซื่อมาแล้วหรือ เดินทางเหนื่อยล่ะสิ หากอ่อนเพลียก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้” เขาเรียกนางด้วยชื่อในวัยเยาว์ หัวคิ้วคลายออก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ท่านแม่ทัพใหญ่เรียกข้ามาอย่างเร่งด่วน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”
กองทัพภายใต้บังคับบัญชาของเจียงหานหยวนตั้งค่ายอยู่ที่ชายแดนชิงมู่ ห่างจากที่นี่ไปทางทิศเหนือหลายร้อยหลี่ ถัดออกไปหลายสิบหลี่คือจุดที่พวกนางปะทะกับพวกเป่ยตี๋ ปกติหากไม่มีกิจด้านการทหารก็แทบไม่เคยเจอเจียงจู่วั่ง
นางทำความเคารพบิดาอย่างทหารผู้น้อยเคารพผู้บังคับบัญชาตามธรรมเนียมกองทัพ จากนั้นก็ยืดตัวยืนตรง ถามเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
เจียงจู่วั่งชะงักเท้าผงะอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะนั่งกลับลงไปช้าๆ
ภายในกระโจมเงียบกริบ ลมกลางคืนแทรกตัวเข้ามาทางรอยแยกของประตูกระโจม พัดเปลวเทียนให้ส่ายไหว
เมื่อเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ใบหน้าเจียงจู่วั่งก็ไม่เหลือรอยยิ้มให้เห็น “หลี่เหอมาขอรับโทษกับข้าแล้ว แต่เจ้าเองก็ประมาทเกินไป ออกไล่ตามพวกมันโดยไม่รอทัพหนุน! ตนเองมีกำลังพลแค่เท่าไร ฝ่ายตรงข้ามมีกันเท่าไร ไปช้ากว่านั้นหน่อยพวกสตรีก็ไม่ถึงตายหรอก! ต่อให้เจ้าพอมีประสบการณ์อยู่บ้างก็ยังต้องรบแบบหนึ่งต่อสี่! เดิมทีข้านึกว่าเจ้าไม่ใช่คนวู่วามเสียอีก!” น้ำเสียงเจียงจู่วั่งเคร่งเครียดเฉียบขาดอย่างยิ่งเมื่อพูดมาจนถึงประโยคสุดท้าย
“ถูกต้อง พวกสตรีอาจไม่ถึงตาย แต่กว่าคนของหลี่เหอจะมาสมทบแล้วไล่ตามพวกมันไป เกรงว่าพวกนางคงได้ตายทั้งเป็น”
เจียงหานหยวนตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง
ไพร่พลระดับล่างที่ไม่ถูกกฎเกณฑ์ผูกมัดของกองทัพเป่ยตี๋จะประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ป่าได้ถึงขั้นใด เจียงจู่วั่งย่อมกระจ่างแก่ใจดี ที่เขาตำหนิบุตรสาวนั้นแท้จริงแล้วมาจากความรู้สึกส่วนตน ทั้งกังวลทั้งห่วงใยผสมผสานกัน พอถูกบุตรสาวโต้กลับมาเขาก็นิ่งเงียบไป เมื่อเอ่ยวาจาอีกทีสีหน้าก็นุ่มนวลขึ้นและเสไปพูดเรื่องอื่นแทน
“หานหยวน ถ้าพ่อจำไม่ผิด เจ้าน่าจะยี่สิบแล้วกระมัง”
ผู้เป็นบิดาดึงสายตาออกจากบ่าที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินของบุตรสาว ค่อยๆ ไล่ขึ้นไปมองใบหน้าที่มีประพิมพ์ประพายคล้ายมารดาเจ้าตัวพลางถาม
“ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องอันใด” เจียงหานหยวนถามซ้ำโดยไม่ตอบคำถามเมื่อครู่
เจียงจู่วั่งนิ่งงันไป