เจียงจู่วั่งนิ่งเงียบ
ฝานจิ้งรีบขอขมา “ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดอภัยด้วย ผู้น้อย…”
เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“โชคดี…โชคดีที่อ๋องผู้สำเร็จราชการ…หล่อเหลามากความสามารถ เรียกได้ว่า…เหมาะสมกับ…ท่านแม่ทัพยิ่งนัก…”
สุดท้ายเขาได้แต่งึมงำพูดไปอย่างนั้น แต่กระทั่งตนเองยังรู้สึกได้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาไร้น้ำหนักเพียงใด
เจียงจู่วั่งโบกมือ “เจ้าอยู่เคียงข้างนางมานาน สนิทกับนางมากกว่าข้าเสียอีก รู้หรือไม่นางพอจะไปที่ใดได้”
ฝานจิ้งรีบแก้ต่างแทนเจียงหานหยวนทันที “ท่านแม่ทัพสุขุมเยือกเย็น เก่งกาจกล้าหาญมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางเป็นอะไรหรอกขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดอย่าได้เป็นห่วง ตอนนี้นางอาจจะยังคิดไม่ตกเลยไปผ่อนคลายอารมณ์คนเดียวเท่านั้น อันที่จริงครานี้นางกำลังเดินทางไปเมืองอวิ๋นลั่ว หรือว่าจะไปที่นั่น?”
หัวคิ้วเจียงจู่วั่งขมวดมุ่น “ข้าไม่คิดเลยว่าหานหยวนจะมีท่าทีกับเรื่องดังกล่าวรุนแรงถึงเพียงนี้ ต้องโทษที่ข้าไม่รอบคอบ เจ้าเร่งนำกำลังคนไปดูที่เมืองอวิ๋นลั่วเดี๋ยวนี้เลย”
“รับบัญชา!”
ฝานจิ้งเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เจียงจู่วั่งนั่งเหม่อคนเดียวอยู่นาน ทันใดนั้นก็ไอโขลกออกมา เขาต้องเอามือยันมุมโต๊ะด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ก่อนค่อยๆ นั่งกลับลงไปใหม่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเป็นกำลัง
ครึ่งเดือนให้หลัง หรือก็คือวันนี้ เดือนสิบ วันอี่ไฮ่* อากาศกลางฤดูใบไม้ร่วงโปร่งสบายต้อนรับวันพิเศษของวัดฮู่กั๋ว วัดหลวงที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง
หลิวเซี่ยงแม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์มาเตรียมพื้นที่ในวัดตั้งแต่เมื่อวาน กันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปทั้งหมด วันนี้ก็คุมทหารรักษาพระองค์ห้าร้อยนายมาด้วยตนเอง แล้วจัดสรรให้รักษาการณ์ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และบริเวณโดยรอบวัด
หากจะพูดถึงความแน่นหนา แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าได้หวังจะบินข้ามกำแพงเข้าไปข้างใน
ที่ต้องระมัดระวังขั้นสูงสุดก็เพราะวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของหลันไทเฮา พระมารดาของฮ่องเต้น้อย ไทเฮายึดมั่นในความสมถะเรียบง่าย ไม่นิยมความหรูหราฟุ้งเฟ้อ และมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในเทพเจ้าและศาสนาพุทธ เป็นผู้อุปถัมภ์วัดฮู่กั๋ว อารามแห่งนี้จึงได้วาดภาพบนกำแพงเพื่อถวายพระพรในวันคล้ายวันพระราชสมภพ
วันนี้ไทเฮาจะมาพร้อมฮ่องเต้น้อยและคณะผู้ติดตามเพื่อเปิดผ้าคลุมภาพวาด
ไม่เพียงเท่านั้นในขบวนยังมีเชื้อพระวงศ์ชายและเหล่าขุนนางภายใต้การนำของอ๋องผู้สำเร็จราชการ เวลานี้แม้ทุกคนจะเข้าไปในอารามแล้ว หลิวเซี่ยงก็ยังไม่กล้าชะล่าใจแม้เพียงนิด
ทั้งในและนอกอารามจัดวางกำลังพลไว้พร้อมสรรพ กระนั้นหลิวเซี่ยงก็ยังเจียดเวลาเดินออกมาตรวจตราทุกจุดด้วยตนเองอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ อย่างแท้จริงถึงค่อยคลายกังวล
เขาเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาสั่งการคร่าวๆ ที่นอกประตูด้านหลังของอาราม พอจะเดินกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ด้านในก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาจากสุดปลายทางฝั่งตรงข้าม สวมชุดสีคราม รองเท้าหุ้มแข้งสีดำ บนศีรษะมีหมวกสาน ปีกหมวกหลุบต่ำ ประกอบกับยังเข้ามาไม่ใกล้พอ จึงมองไม่เห็นใบหน้า ทว่าตัดสินจากรูปร่างแล้ว อายุน่าจะยังไม่มาก
หลิวเซี่ยงรีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปไล่คนผู้นั้น ฝ่ายตรงข้ามหยุดยืนริมถนนบนเขา พูดอะไรบางอย่างกับทหารรักษาพระองค์
ผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งกลับมา แต่คนผู้นั้นยังไม่ยอมไป หลิวเซี่ยงเห็นแล้วอดโมโหไม่ได้จึงสาวเท้ายาวๆ เข้าไปเอ็ดอึงเสียงดัง
“ท่านแม่ทัพ คนผู้นั้นบอกว่าเป็นคนคุ้นเคยของท่าน ขอเชิญท่านไปเจรจากันสักหน่อยขอรับ”
หลิวเซี่ยงผงะ ก่อนเหลือบตาพิจารณาผู้มาใหม่อีกครั้ง
ฝ่ายนั้นยังยืนนิ่งริมถนนอย่างเยือกเย็น
หลิวเซี่ยงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปใกล้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ไม่รู้หรือว่าวันนี้ปิดถนน รีบไปเสีย…”
ฝ่ายตรงข้ามยกมือเลิกปีกหมวกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์สะอาดสะอ้านและดวงตาใสกระจ่างภายใต้หมวก
“อาหลิว ข้าเอง หานหยวน”
ผู้ที่มากล่าวเช่นนั้นพลางส่งยิ้มบางๆ มาให้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ค. 67