ฝ่ายนั้นยังคงยืนนิ่ง หลุบตาน้อยๆ มองผู้เป็นอาที่ทรหดไม่ยอมตาย ความอาดูรระคนเวทนาฉายบางๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น องครักษ์ทั้งสองออกแรงเพิ่มจนกระดูกต้นคอของเกาอ๋องลั่นกร๊อบ ในที่สุดอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเว่ยก็หยุดดิ้น ร่างทั้งร่างกลายเป็นก้อนเนื้อนุ่มๆ ศีรษะตกพับไปข้างหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง
องครักษ์ทั้งสองยังคงดึงเชือกต่อสักพักหนึ่ง หลังมั่นใจว่าเกาอ๋องตายแน่นอนแล้วถึงค่อยผ่อนแรง เก็บเชือกแล้วหลบไปยืนรอตรงมุมหนึ่งเงียบๆ
อ๋องผู้สำเร็จราชการยังคงยืนบนบันไดตำหนักอยู่อย่างนั้น
สายลมพลันรำเพยผ่าน พัดใบสนที่เกลื่อนกล่นอยู่บนหลังคากระเบื้องดินเผาให้ร่วงกระทบไหล่เขาเงียบๆ ก่อนจะตกลงไปกองอยู่ตรงปลายเท้า
เขาเดินไปหยุดยืนข้างร่างไร้ลมหายใจของเกาอ๋อง ก้มหน้ามองใบหน้าบิดเบี้ยวดวงนั้น สักพักหนึ่งก็โน้มเอวยื่นมือไปลูบดวงตาเบิกโพลงของอีกฝ่ายให้ปิดลง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเดินผ่านเลยไป
เมื่อมาถึงหอแสดงธรรม เขาเดินกลับเข้าไปนั่งเก้าอี้ตนเองอย่างเยือกเย็น ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่มองมาเงียบๆ จากทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของหอ
หลันไทเฮาใช้พัดบังดวงหน้า ชำเลืองมองไปยังร่างของบุรุษทางฝั่งตะวันออกที่ไม่รู้ว่าหายออกจากหอไปที่ใดอยู่พักหนึ่ง พอชักสายตากลับมา หางตาก็ปรายมองร่างในอาภรณ์สีแดงเข้มตรงสุดปลายฝั่งตะวันตกของหอ ก่อนที่มุมปากจะหยักยิ้มน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น
ด้านนอกหลิวเซี่ยงเดินตามผู้ใต้บังคับบัญชาไปหลังหอแสดงธรรม พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของราชบุตรเขยเฉินหลุน สติก็ตื่นโพลงเหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน รู้ได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
ศพที่นอนเรียงรายกันบนพื้นล้วนมีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าหมู่คุมกำลังพลกองเล็กที่เขามอบหมายงานสำคัญให้ทำ นั่นคือรับผิดชอบอารักขาอ๋องผู้สำเร็จราชการระหว่างเส้นทางในวันนี้
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการวางกำลังทหารองครักษ์ที่ตนคิดว่าแน่นหนาราวกับถังเหล็กแท้ที่จริงได้กลายเป็นกระชอนมาตั้งแต่ต้น
เกาอ๋องได้ส่งคนเข้ามาแฝงตัวตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งมารับช่วงดูแลกองทหารรักษาพระองค์ใหม่ๆ ข้อนี้ไม่เท่าไรหรอก น่ากลัวตรงที่สามารถรอดหูรอดตาการปรับเปลี่ยนกำลังพลในช่วงแรกที่เขารับตำแหน่งมาได้ หลายปีที่ผ่านมาเกาอ๋องไม่เคยใช้งานคนเหล่านี้เลย เขาจึงไม่ระแคะระคายสักนิด
แผนการของเกาอ๋องคือฉวยโอกาสระหว่างเดินทางกลับหลังไหว้พระเสร็จ เพราะเป็นช่วงที่กำลังพลทุกฝ่ายผ่อนคลายที่สุด โดยจะโยนเกี้ยวครอบผมเป็นสัญญาณ ให้นักรบเดนตายกลุ่มนี้ลงมือจู่โจมเอาชีวิตอ๋องผู้สำเร็จราชการพร้อมกัน
คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารฝีมือฉมังที่เลือกเฟ้นมาอย่างดีจากหนึ่งในร้อย อยู่ใกล้อ๋องผู้สำเร็จราชการมากกว่าใคร แม้ว่าการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์เป็นความสามารถที่เหล่าองค์ชายและบุรุษผู้มีชาติตระกูลต้องฝึกฝน ทว่าฉีอ๋องเชี่ยวชาญเชิงอักษรมากกว่า ซ้ำยังไร้อาวุธป้องกันตัว หากฝ่ายตรงข้ามลงมือก็ย่อมจบชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้นเองหลิวเซี่ยงก็กระจ่าง เข้าใจต้นสายปลายเหตุโดยตลอด
อ๋องผู้สำเร็จราชการน่าจะวางแผนกำจัดเกาอ๋องมานานแล้ว จึงจงใจปล่อยข่าวลือว่าสู่ขอบุตรสาวเจียงจู่วั่งมาเป็นชายา เพื่อกดดันเกาอ๋องให้ร้อนรนจนอยู่เฉยไม่ไหว
สมัยที่ฮ่องเต้เซิ่งอู่ครองราชย์ บารมีแผ่ไพศาลสยบสี่มหาสมุทร ทุกคนก้มกราบกรานใต้อำนาจ แต่เมื่อมาถึงสมัยฮ่องเต้หมิงตี้ อำนาจของฮ่องเต้ลดน้อยลงถนัดตา กลับเป็นแม่ทัพที่คุมกำลังพลขนาดใหญ่รักษาชายแดนเช่นเจียงจู่วั่งที่โดดเด่นขึ้นมา ประกอบกับเขาได้ชื่อว่ารักไพร่พลเยี่ยงบุตรในอุทร ทหารใต้อาณัติจงรักภักดีต่อเขามากกว่าฮ่องเต้ที่อยู่ในเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ มองจากจุดนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นภัยเงียบ อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง แม่ทัพผู้ทรงธรรมจึงมักไม่ได้พบจุดจบที่ดีนับแต่โบราณมา
ทว่ากลับกันหากรู้วิธีใช้สอยแม่ทัพเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาวุธฉกาจฉกรรจ์ป้องกันแคว้น เป็นเสาหลักที่ปักตรึงแผ่นดินให้สงบมั่นคง
หากอ๋องผู้สำเร็จราชการซื้อใจเจียงจู่วั่งให้จงรักภักดีต่อตนเองได้ จะต่างอะไรกับเสือติดปีก
เกาอ๋องคงสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามในข้อนี้เช่นกัน ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงความนัยที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังภัยดังกล่าวด้วย