บทที่ 34
เฉินหลุนกับองค์หญิงหย่งไท่เพิ่งจะรู้เอาตอนเช้าวันรุ่งขึ้นว่าเมื่อคืนอ๋องผู้สำเร็จราชการกลับเมืองหลวงไปแล้ว
หญิงสกุลจวงเล่า “วันนี้ครบกำหนดห้าวันที่ต้องประชุมใหญ่ราชสำนักพอดีเพคะ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการทรงสะสมงานมาสองวันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ประสงค์จะเลื่อนการประชุมใหญ่ออกไปอีก มีพระบัญชาให้หม่อมฉันถ่ายทอดพระดำรัส ขอให้องค์หญิงกับราชบุตรเขยพักผ่อนที่นี่ต่อให้สำราญ ท่านอ๋องจะเสด็จกลับก่อนเพคะ”
สองปีที่ผ่านมาอ๋องผู้สำเร็จราชการจัดการราชกิจอย่างขยันขันแข็งเพียงไร ขุนนางทั้งราชสำนักรู้ดี เฉินหลุนฟังแล้วหาได้สงสัยเป็นอื่น องค์หญิงก็มิได้คิดมาก แค่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็กลัวว่าเจียงหานหยวนจะไม่พอใจ จึงช่วยแก้ต่างให้ญาติผู้น้องเล็กน้อย ระหว่างวันก็ลากนางออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันต่อ
วันนี้ทุกคนไปล่องเรือในทะเลสาบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบหลี่ แล้วกลับตำหนักเซียนเฉวียนอย่างสนุกสนานชื่นบาน ตอนแรกนัดแนะกันว่าวันพรุ่งนี้จะออกไปล่าสัตว์ด้วยกันใหม่ ใครจะรู้ว่าในช่วงค่ำกลับได้รับข่าวว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเรียกตัวเฉินหลุนเข้าเฝ้าทันที
แม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ในเมื่อเรียกตนกลับไปก่อนกำหนดเช่นนี้ เฉินหลุนก็สังหรณ์ใจว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็ก เขารีบออกเดินทางเดี๋ยวนั้นโดยไม่กล้ารอช้า องค์หญิงเห็นว่าเจียงหานหยวนอยู่คนเดียว และญาติผู้น้องของนางนั้นยุ่งกับงานขึ้นมาเมื่อไรเป็นได้ลืมวันลืมคืน นางจึงไม่กลับไปด้วย ตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ทัพหญิงต่ออีกสองสามวัน
เฉินหลุนเร่งเฆี่ยนม้าไปตลอดทางและตรงดิ่งถึงวังหลวงในยามไฮ่ของคืนเดียวกัน อ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังรอเขาอยู่ในหอเหวินหลิน
“กระหม่อมมาช้า ท่านอ๋องโปรดทรงอภัยด้วย!” เฉินหลุนเดินดุ่มๆ เข้ามาถวายคำนับ
“ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุด แต่ยังไม่ทันครบกำหนดก็เรียกตัวกลับเสียแล้ว อย่าได้ถือโทษกันเลยนะ” ซู่เซิ่นฮุยมีสีหน้ารู้สึกผิด
“มิกล้า เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซู่เซิ่นฮุยเลื่อนรายงานไปตรงหน้าอีกฝ่าย เฉินหลุนรับมากวาดตาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันตา
เพราะอ๋องผู้สำเร็จราชการถูกลอบสังหารในคืนแต่งงาน ต่อมาจึงเกิดการตรวจสอบโดยละเอียดในฉางอันเป็นวงกว้าง แม้ภายหลังจะไม่พบสิ่งใดน่าสงสัยและถอนกำลังคนในที่แจ้งไปแล้ว ทว่าในที่ลับตามสถานที่มังกรงูปะปนกันซึ่งเกิดสถานการณ์ได้ง่ายที่สุดอย่างเรือนแรมหรือโรงเตี๊ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งที่มีขบวนพ่อค้าเข้าพักเป็นจำนวนมาก นอกจากจะไม่ผ่อนคลายการตรวจตรา ยังเพิ่มคนให้คอยจับตามองอย่างลับๆ อีกด้วย
คดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเฉินหลุน วันนี้เองที่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของเขาสืบจนพบจุดน่าสงสัย ขบวนพ่อค้าสัญจรจากมณฑลทางเหนือขบวนหนึ่งเข้าพักในโรงเตี๊ยมแถวประตูเหยียนกวงทางฝั่งตะวันตกของเมือง มีด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดแปดคน ฉากหน้านำสินค้าอย่างหนังและขนสัตว์มาขาย หนังสือหลักฐานที่ได้จากด่านต่างๆ ตลอดเส้นทางพร้อมพรัก ซ้ำยังไม่ใช่เอกสารปลอม ในเมืองฉางอันที่มีคนอยู่อาศัยเป็นร้อยหมื่นชีวิต ขบวนพ่อค้าเช่นนี้เล็กกระจิริดยิ่งกว่าฝุ่นทราย แรกเริ่มเดิมทีจึงไม่เป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น แต่ผ่านไปนานวันเข้าคนเหล่านี้ดูมีพิรุธเวลาเข้าออกโรงเตี๊ยม กองทหารประตูจึงเริ่มจับตามองเงียบๆ พร้อมสั่งให้หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมคอยลอบสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่
ตอนกลางคืนหลงจู๊ลุกไปห้องน้ำ เมื่อเดินผ่านห้องพักแบบเตียงรวมของคนกลุ่มนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยด้วยภาษาต่างแคว้นลอยออกมาประโยคหนึ่ง ทันทีที่พูดประโยคนั้นคนข้างในก็รีบเงียบเสียงเหมือนรู้ตัว จากนั้นก็มีคนเปิดหน้าต่างชะโงกออกมากวาดตามองข้างนอก บังเอิญเหลือเกินที่หลงจู๊คนนี้เคยไปมณฑลทางเหนือสมัยหนุ่มๆ จึงฟังภาษาของพวกเป่ยตี๋ออก คนผู้นั้นเหมือนจะสบถว่าที่นอนมีตัวหมัด ด้วยเวลานี้สองแคว้นเป็นศัตรูกัน ประกอบกับตนได้รับคำสั่งจากกองทหารประตู เจออย่างนี้เลยอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะต้องรับผิดชอบ วันนี้จึงแอบออกมาส่งข่าวแต่เช้า ทว่าเฉินหลุนไม่อยู่ ข่าวจึงถูกส่งมาถึงเบื้องหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการโดยตรง
“เรื่องนี้อย่าแพร่งพรายให้รู้กันเยอะเกินไป ข้าส่งคนไปจับตามองคนกลุ่มนั้นแล้ว เรื่องหลังจากนี้เจ้ามาจัดการต่อ ดูซิว่าคนกลุ่มนี้มีจุดประสงค์ใด ยังมีพวกพ้องอีกหรือไม่ จะต้องจับให้หมดในคราเดียวให้ได้”
เฉินหลุนรับคำสั่ง หลังจากหารือรายละเอียดกันว่าจะจัดการอย่างไร เขาก็รีบออกจากวังหลวง