เมื่อวานเจียงหานหยวนออกจากตำหนักแปรพระราชฐานแต่เช้าอย่างไร้จุดหมาย ได้แต่ควบม้าไปเรื่อยๆ ในสวนป่ากว้างใหญ่
องค์หญิงดีกับนางมาก นางเองก็ชอบองค์หญิงและรู้สึกซาบซึ้งที่อีกฝ่ายดีกับตนถึงเพียงนี้ ทว่านางถูกลิขิตให้อยู่อย่างเดียวดายมาแต่กำเนิด ดังนั้นความหวังดีและไมตรีขององค์หญิงมีแต่จะทำให้นางรู้สึกวางตัวไม่ถูก จริงอยู่ว่าความรู้สึกนี้เบาบางลงบ้างเล็กน้อยเมื่อนางเริ่มคุ้นเคยกับองค์หญิงมากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้หายไปทั้งหมดอยู่ดี
นางเป็นคนพูดน้อยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถนัดคบค้าสมาคมกับใครก็ตามที่ไม่ใช่คนในกองทัพ นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำตัวอย่างไรถึงจะสมกับน้ำใจไมตรีที่ผู้อื่นมีให้ คืนนั้นนางปฏิเสธที่จะแช่น้ำพุร้อนกับองค์หญิง เหตุผลไม่มีอะไรอื่น เพียงแต่นางไม่อยากให้องค์หญิงเห็นรอยแผลเป็นบนแผ่นหลังแล้วหวาดกลัวเท่านั้นเอง
เวลานี้นางกำลังควบม้ารับลมพัดโหมเพียงลำพัง อยากหาความรู้สึกของตนเองตอนอยู่ด่านชายแดนซีสิงเมื่อหลายเดือนก่อนกลับมาอีกครั้ง
ตอนนั้นเวลาและพละกำลังเกือบทั้งหมดของนางถูกใช้ไปกับเรื่องทางการทหารและการฝึกซ้อม วันๆ สมองคิดถึงแต่เรื่องในกองทัพ ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความสุขใจ ซึ่งนางก็ไม่ต้องการด้วย นางชาชินและยินดีที่จะใช้ชีวิตแสนราบเรียบจำเจเช่นนั้นวันแล้ววันเล่า ชีวิตที่ควบคุมทุกอย่างได้เองทั้งหมดทำให้นางรู้สึกปลอดภัย ไม่เหมือนอย่างตอนนี้ นางสัมผัสได้ว่าตนเองอัดอั้นตันใจ อารมณ์ดิ่งวาบเป็นพักๆ โดยที่ควบคุมอะไรไม่ได้เลย
เพิ่งจะจากเยี่ยนเหมินมาได้กี่เดือนเอง
หลังคืนนั้นนางรู้สึกอัดอั้นทรมานเหมือนมีก้อนหินอุดอยู่ในหัวใจ เวลาอยู่กับองค์หญิงหย่งไท่ช่วงสองสามวันก่อนหน้านี้นางพยายามสุดความสามารถที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ตอนนี้พอแยกตัวแล้วก็นึกอยากระบายออกมาเต็มที
หลังจากเจียงหานหยวนควบม้ากลางทุ่งคนเดียวมาวันหนึ่งแล้วก็ยังหาความรู้สึกเดิมๆ กลับมาไม่ได้เสียที ใกล้ค่ำแล้ว ยามสายัณห์วันนี้ฟ้าใสไร้เมฆ พระอาทิตย์กำลังลาลับหลังภูเขาที่อยู่ถัดออกไปจากทุ่งหญ้า นางรั้งบังเหียนม้า เหม่อมองอาทิตย์อัสดงอยู่สักพักก็พลันนึกถึงเย็นวันที่ได้เจอเด็กหนุ่มผู้นั้นโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา รวมทั้งยามอรุณรุ่งที่สวยงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาในชีวิตนั่นด้วย
คืนที่ค้างแรมคืนนั้น ตอนที่เฉินหลุนรำลึกความหลังถึงวันนั้นกับเขาขึ้นมาอย่างปุบปับ นางก็รู้เลยว่าเขาลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว นางเองก็เช่นกัน เนื่องจากหยกพกที่เขามอบให้ ‘เจ้าหนู’ คนนั้นถูกนางเก็บไว้ตรงก้นหีบ ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันมานานปี
สำหรับนางแล้วสิ่งที่น่าพึงพอใจมากที่สุดของการแต่งงานนี้คือการเป็นสามีภรรยากันแต่ในนาม วันหนึ่งในอนาคตเมื่อเขาไม่ต้องการนางแล้วจะได้ต่างคนต่างกลับไปใช้ชีวิตของตนเองตามเดิมอย่างสันติ เขาสามารถรักคนที่อยากรัก ส่วนนางก็กลับไปอยู่ในค่ายทหาร ปกปักรักษาชายแดนอย่างที่เคยทำต่อไป ทั้งยังสามารถไปเมืองอวิ๋นลั่วเพื่อฟังอู๋เซิงแสดงธรรม…หากตอนนั้นเจ้าตัวยังไม่ไปที่อื่นล่ะก็ นางจะใช้ชีวิตชาตินี้ให้หมดไปเงียบๆ เช่นนี้ ในกรณีที่ไม่ตายในสนามรบเสียก่อน
หากไม่อาจแต่งงานกันแค่ในนาม นางก็สามารถเป็นสามีภรรยากับเขาอย่างแท้จริงได้เช่นกัน แต่ก็เพียงเท่านั้น เพราะการแต่งงานครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึก นางเองก็ไม่อยากผูกสัมพันธ์ใดๆ กับเขามากเกินกว่าที่จำเป็น ไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว
เป็นต้นว่าเป็ดสรงน้ำหวานที่ตอนแรกนางชื่นชอบในรสชาติเมื่อได้ชิมจานนั้น
หรืออย่างจุมพิตดูดดื่มที่ต้องให้ริมฝีปากและลิ้นเคล้าคลอกัน
ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าทำเพื่อผลประโยชน์เชิงอำนาจ จะสวมบทบาทเป็นจริงเป็นจังกันไปไย นางเล่นละครไม่เก่ง และยิ่งกลัวว่าวันใดวันหนึ่งตนเองจะมองบทบาทที่สวมอยู่เป็นความจริงขึ้นมาจนไม่ใช่เจียงหานหยวนคนเดิมอีกต่อไป ส่วนเขายังเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ลืมการพบเจอกันโดยบังเอิญในวันวาน เช่นนั้นนางที่ไม่ใช่เจียงหานหยวนอีกแล้วจะไปอยู่ที่ใดได้เล่า
“พระชายา! พระชายา!”
องครักษ์สองคนที่ถูกนางสลัดทิ้งไว้ข้างหลังไล่ตามทันจนได้ พวกเขาเห็นนางนั่งอยู่บนหลังม้า หันหน้าเข้าหาตะวันรอนก็ตะโกนเรียกแล้วควบม้าเข้ามาจนใกล้ ถามว่าจะกลับกันได้หรือยัง
เจียงหานหยวนหันไปมองอาทิตย์อัสดงอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างของกวางที่แสนคุ้นตาก็วิ่งผ่านไปตรงหน้า มันคือกวางตัวผู้ที่ทุกคนพยายามล่าเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง! เขาข้างหนึ่งของมันมีรอยบิ่น นางจำได้ดี
แม่ทัพหญิงเอื้อมมือไปหยิบธนูโดยไม่ต้องคิด แล้วชักบังเหียนให้ม้าบ่ายหน้าไล่ตามไปอย่างไม่ลังเล
ผ่านไปหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นนางยังคงไล่ตามรอยเท้าและร่องรอยของมันต่อ ได้เห็นตัวมันอีกสองครั้ง แต่ก็คลาดไปอย่างฉิวเฉียดทุกที ครั้นพอวันที่สาม หลังจากตากน้ำค้างพักแรมกลางแจ้งมาสองวัน ในที่สุดโชคก็เข้าข้างนางบ้างแล้ว
นางเห็นตัวมันอีกครั้งตอนมาถึงข้างเนินเขาแห่งหนึ่งในช่วงเย็น