มันถูกนางไล่ล่ามาสามวัน เวลานี้จึงมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความแข็งแรงปราดเปรียวในตอนแรกอีกแล้ว มันยืนอยู่บนเนิน เขาคู่ที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิและหน้าผากค้อมต่ำ ทันใดนั้นมันก็เห็นนางขี่ม้าเข้ามาใกล้ จึงรีบดีดตัววิ่งหนีอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้งในสองวันที่ผ่านมา
แต่ครั้งนี้เจียงหานหยวนไม่ให้โอกาสมันอีกต่อไป นางทรงตัวนั่งอย่างมั่นคงบนหลังม้าที่ยังวิ่งห้อด้วยความเร็วสูง น้าวสายธนูเล็งเป้าไปยังร่างเดรัจฉานที่กำลังหนีเตลิดอยู่ด้านหน้า แล้วปล่อยลูกธนู
ลูกธนูของนางพุ่งฉิวไปหากวาง ปักเข้าที่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ ตีนหน้าของมันสะดุดกึก ก่อนจะงอเข่าล้มลงนอนหงายท้องบนพื้น ตีนทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้าแน่นิ่งไม่ขยับ แต่ชั่วอึดใจให้หลังมันก็เหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ตวัดตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างว่องไว เหลียวมามองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดขาออกวิ่ง เหลือแต่ก้านธนูเปล่าๆ ที่หัวแหลมถูกหักออกตกอยู่บนพื้น
เจียงหานหยวนรั้งบังเหียนม้าให้หยุดวิ่ง มองตามร่างที่วิ่งหนีอุตลุดของกวางหนุ่มแล้วคลี่ยิ้ม ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอกมาหลายวันหายวับไปทันตา!
ในเมื่อยิงกวางสำเร็จ การล่าสัตว์ของนางก็สิ้นสุดได้เสียที
แม่ทัพหญิงลดคันธนูลงแล้วเหลียวมองรอบตัวเพื่อจับทิศทางกลับไปสมทบกับองครักษ์ทั้งสอง แต่ทันใดนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย
พริบตาที่ความจดจ่อละออกจากตัวกวางที่ไล่ล่ามาถึงสามวัน นางก็สัมผัสได้ทันควันว่าด้านหลังคล้ายกับมีคนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ไม่ใช่พวกองครักษ์ หากแต่เป็นคนแปลกหน้า
แรกสุดนางทำเฉยเหมือนไม่ทันรู้สึก มือที่คลายจากคันธนูค่อยๆ กระชับแน่นใหม่อีกครั้ง เตรียมความพร้อมที่จะหันขวับไปยิงธนูใส่ด้วยความเร็วสูงสุด
นางพร้อมแล้ว ทว่าเสียงปรบมือสองครั้งลอยตามลมมาในจังหวะนั้นเสียก่อน
“นิสัยหนักแน่นเยือกเย็น ความสามารถในการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์เลิศล้ำ ในขณะเดียวกันก็มีจิตเมตตา เลื่อมใสแม่ทัพฉางหนิงมานานแล้ว วันนี้ได้เจอตัวเสียที ไม่ผิดจากคำเล่าลือเลยจริงๆ!”
นางค่อยๆ เหลียวหลังไปมอง ชายผู้หนึ่งขี่ม้าออกจากหลังเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าวตรงมาหานาง
อีกฝ่ายเป็นบุรุษหนุ่มที่ดูอายุไล่เลี่ยกับซู่เซิ่นฮุย สวมชุดสีเทา รองเท้าหุ้มแข้งสีดำ ดูเผินๆ ไม่ต่างจากนักเดินทางทั่วไป ทว่านัยน์ตาคมกริบดุจเหยี่ยวและรูปร่างสูงใหญ่กำยำนั้นมองอย่างไรก็รู้ว่าจะประมาทไม่ได้
นี่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
เจียงหานหยวนมองอีกฝ่ายชักม้าเข้ามาใกล้ตนเองขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายหยุดห่างจากม้านางไปเพียงเจ็ดแปดก้าว
“เจ้าเป็นใคร” นางถาม
ชายหนุ่มยิ้ม “ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน อยากทำความรู้จักแต่แรกแล้ว จนใจที่แต่ก่อนไม่มีโอกาสเสียที ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบกัน นับว่าโชคเข้าข้าง บ้านข้าแม้คับแคบแต่ก็ยังพอมีที่รับรองแขก เตรียมที่นั่งอย่างดีไว้ต้อนรับแม่ทัพฉางหนิงนานเต็มทีแล้ว ครานี้ข้าเดินทางรอนแรมมาไกล โชคดีที่ได้เจอตัว จึงอยากเชิญแม่ทัพฉางหนิงไปเป็นแขกที่จวนข้าหน่อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะว่าอย่างไร”
เจียงหานหยวนมองคนตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ก็โพล่งถาม “เจ้าเป็นชาวตี๋?”
รอยยิ้มหายวับ ชายหนุ่มผงะไปจนสังเกตได้ ทว่าหลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ในเมื่อเจ้ามองออก ข้ายอมรับก็ได้ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“รูปร่างหน้าตาเจ้าไม่แตกต่างจากต้าเว่ยเรา ซ้ำยังพูดภาษาฮั่น ถือว่าปลอมตัวได้แนบเนียนดี แต่เจ้าลืมซ่อนรอยเจาะหู ไม่มีบุรุษต้าเว่ยคนใดใส่ตุ้มหู และหน้าตาเจ้าก็ไม่เหมือนพวกคนแดนประจิม ก็เหลือแค่ชาวตี๋ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับชาวต้าเว่ยแต่ขนบธรรมเนียมแตกต่างกันเท่านั้นล่ะ”
ชายผู้นั้นยกมือแตะติ่งหูโดยไม่รู้ตัว แล้วหัวเราะอีกครั้ง “ถูกต้องยิ่งแล้ว! ข้าสะเพร่าเอง! จุดเล็กๆ เพียงเท่านี้เจ้ายังสังเกตเห็น มิเสียแรงที่เป็นคนชิงแนวชายแดนชิงมู่กลับไปได้!”
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
เจียงหานหยวนมองบุรุษตรงหน้า ในใจพอจะมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งแล้ว
ไม่ผิดจากที่คิด คนผู้นั้นหุบยิ้ม ตอบด้วยสีหน้าแฝงความภาคภูมิ “ในเมื่อเจ้ามองออก ข้าจะบอกให้ก็ได้ ข้าองค์ชายหกแห่งราชวงศ์ต้าตี๋ หนานอ๋องชื่อซู”