บทที่ 35
แม่ทัพหญิงนึกถึงชื่อซูได้ตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ตอบ
หลังแนวชายแดนชิงมู่กลับคืนมาอยู่ในมือต้าเว่ยเมื่อสามปีก่อน องค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ผู้นี้ก็มาตั้งจวนในเมืองเยียนมณฑลโยวโจวด้วยบรรดาศักดิ์หนานอ๋อง ระหว่างสามปีมานี้ได้ส่งไพร่พลมาล้อมแนวชายแดนชิงมู่จนสองแคว้นทำศึกกันหลายครั้ง โดยกองทัพตี๋เป็นฝ่ายบุกตีก่อนทุกคราวไป ทว่าล้วนไม่ใช่ศึกใหญ่ เจียงหานหยวนวิเคราะห์ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการหยั่งเชิงและดูศักยภาพของทัพตน จึงมิได้ทุ่มเทสรรพกำลังมากนัก เพียงให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำทัพแทนทุกครั้ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปะทะกันที่เกิดขึ้นจะต้องมาจากคำสั่งของชื่อซูแน่นอน
ในฐานะผู้บัญชาการของแนวหน้าที่ต้องเผชิญกับการปะทะของสองกองทัพโดยตรง เจียงหานหยวนย่อมทำการสืบข่าวผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายศัตรูเช่นกัน เท่าที่นางรู้มาชื่อซูอายุยังน้อย เรียนภาษาและขนบธรรมเนียมจงหยวนกับบัณฑิตชาวฮั่นที่เป็นขุนนางในราชสำนักเป่ยตี๋มาตั้งแต่เด็ก จึงสามารถพูดภาษาฮั่นได้อย่างคล่องแคล่ว อุปนิสัยทะนงตน วรยุทธ์เป็นเลิศ ทั้งยังกล้าเสี่ยง ระหว่างที่ฮ่องเต้เป่ยตี๋ผู้เป็นบิดาทำสงครามผนึกแว่นแคว้นต่างๆ ได้ตกเข้าไปในกับดักที่ข้าศึกสร้างไว้และถูกโอบล้อมหมดทุกด้าน ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเขาสลับม้ากับบิดา ปลอมธงประจำตัว เอาตนเองล่อศัตรูสู้ยิบตาจนสามารถทะลวงฝ่าวงล้อมและช่วยบิดาให้รอดพ้นความตายมาได้ ความองอาจกล้าหาญนี้ทำให้เขาเริ่มโดดเด่นขึ้นมาเหนือเหล่าองค์ชายที่มีอยู่มากมายและเป็นที่จับตามองนับแต่ศึกครานั้น
นางสืบข่าวผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายศัตรูได้ ฝ่ายตรงข้ามก็ย่อมทำได้เช่นกัน คนตรงหน้าในเวลานี้ไม่เพียงหนุ่มแน่นและมีความสามารถ ยังมีท่าทีถือดีไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา สอดคล้องกับคุณสมบัติของชื่อซูทุกประการ และเท่าที่ฟังจากคำพูดคำจา ฝ่ายตรงข้ามก็รู้เรื่องของนางโดยละเอียดเช่นกัน
ในบรรดาบุคคลที่มีตำแหน่งและฐานะของเป่ยตี๋ นอกจากชื่อซูแล้วนางก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้อีก
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือองค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ผู้นี้จะบ้าบิ่นถึงขั้นกล้าแฝงตัวเข้ามาในฉางอัน
ในเมื่อแสดงตัวต่อหน้านางเวลานี้ ย่อมไม่มีทางมาคนเดียวเด็ดขาด
“เจ้าคือชื่อซู? ข้ารู้จักเจ้า เจ้าลอบเข้าฉางอันด้วยจุดประสงค์ใด”
นางโต้ตอบกับอีกฝ่ายพลางกวาดตาสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว เป็นไปดังคาด มีหัวคนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านหลังเนินเตี้ยที่ห่างออกไปไม่ไกล พวกเขากำลังจับจ้องมาทางนี้ มีด้วยกันทั้งสิ้นสิบกว่าคน
เจียงหานหยวนไม่กล้าประมาทเลินเล่อใดๆ เท่าที่นางประเมินหากตนเองกับชื่อซูต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว โอกาสแพ้ชนะมีเท่ากัน แต่หากต้องรับมือกับผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนของอีกฝ่ายด้วย คิดจะอาศัยการต่อสู้ด้วยกำลังอย่างเดียวน่าจะตีฝ่าหนีไปไม่ได้ ชื่อซูบุกเข้าถิ่นศัตรูทั้งที เชื่อว่าคนที่พามาด้วยย่อมต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ
ชื่อซูที่อยู่ตรงข้ามสังเกตว่านางเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตนให้ซุ่มรออยู่ข้างหลังแล้ว จึงมองนางพลางยิ้มบางๆ “แม่ทัพเจียง เจียงหานหยวน! ข้าก็รู้จักเจ้าเช่นกัน ในเมื่อเจ้าเป็นแม่ทัพของแคว้นเว่ย ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงสตรีทั่วไป และยิ่งจะไม่หยามเกียรติเจ้า แต่ข้าจะบอกอะไรให้ วันนี้เจ้าไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้แน่ ไม่สู้ยอมจำนนแล้วตามข้ากลับไปโดยดีเถิด ข้ารับรองว่าจะไม่ทำอันตรายเจ้า มีแต่จะให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยซ้ำ ว่าอย่างไร”
คำพูดฟังแล้วดูสุภาพก็จริง ทว่าความหยิ่งผยองในน้ำเสียงกลับสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
เจียงหานหยวนไม่โต้ตอบ
“นอกจากข้า ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าก็ฝีมือไม่ใช่ธรรมดา ล้วนแต่เป็นขุนศึกเหี้ยมหาญที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน นึกหรือว่าวันนี้ตนเองจะหนีรอดไปได้ เจ้ายังสาวยังงดงาม ซ้ำเป็นแม่ทัพมากพรสวรรค์ จะเป็นชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการของแคว้นเว่ยให้รำคาญใจไปไยเล่า ข้าจะบอกให้นะ วันข้างหน้าฉางอันแห่งนี้จะต้องตกเป็นสมบัติของราชวงศ์ต้าตี๋เราอย่างแน่นอน! เมื่อข้าขึ้นครองราชย์ เจ้าจะได้เป็นแม่ทัพของต้าตี๋ นั่นแตกต่างจากเป็นแม่ทัพต้าเว่ยอย่างไร”
แม่ทัพหญิงยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ทว่าในใจมีแผนการแล้ว
ชื่อซูเห็นนางไม่ยอมให้คำตอบเสียทีก็พยักหน้า “ได้ ข้าอยากเห็นมานานแล้วว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใดกันแน่ แม้ที่นี่จะไม่ใช่สนามรบ แต่ได้ประมือลองเชิงกับเจ้าเช่นนี้ก็เป็นโอกาสที่หายาก!”
พูดจบเขาก็ผิวปาก ผู้ใต้บังคับบัญชาสิบคนที่อยู่หลังเนินดินควบม้าเข้ามาใกล้แล้วเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างหลังเขา
“เจียงหานหยวน ข้าไม่อยากใช้คนมากกว่ารุมเจ้าคนเดียวให้เป็นที่ครหา ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี”