ทว่าเส้นทางที่แกะรอยมาเรื่อยๆ นี้ดูไม่เหมือนเส้นทางที่ใช้หนีหลังจับคนได้ แต่เหมือนเส้นทางหลบหลีกการไล่ล่ามากกว่า เช่นนั้นก็อาจคิดไปได้ว่าพระชายายังไม่ตกอยู่ในกำมือพวกมัน แต่กำลังอยู่ระหว่างการหลบหนี
ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด นางก็ตกอยู่ในอันตราย สามารถเกิดเหตุร้ายได้ทุกเมื่อทั้งสิ้น เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงแกะรอยตามหาทั้งกลางวันกลางคืนโดยแทบไม่หยุดพัก หลังผ่านมาหลายวันจนถึงบริเวณนี้ในช่วงพลบค่ำ ระหว่างที่กำลังค้นหาอยู่นั้นก็เห็นเปลวไฟลุกโชติช่วงท่วมภูเขา จึงเร่งตามมาถึงที่นี่
ธนูดอกนี้หลิวเซี่ยงตั้งใจยิงให้อีกฝ่ายล้มลงเพื่อจับมาถามว่าพระชายาอยู่ที่ใด สมัยอยู่ในกองทัพเขาขึ้นชื่อว่ายิงธนูได้แม่นยำ ในอดีตยังเคยเป็นอาจารย์สอนด้านนี้ให้บุตรสาวแม่ทัพใหญ่เมื่อครั้งนางยังเด็กมาแล้ว ธนูที่ยิงออกไปเสียบทะลุขา พละกำลังมากพอที่จะทำให้กระดูกสะบ้าแตกเป็นเสี่ยง ข้อนี้เขามั่นใจอย่างมาก แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะทั้งแกร่งทั้งอึดราวกับหมี ยังสามารถทนพิษบาดแผลลุกขึ้นวิ่งหนีได้
นอกจากความประหลาดใจ หลิวเซี่ยงยังนึกเป็นห่วงพระชายามากกว่าเดิม จึงรีบขี่ม้าไล่ตามไปพร้อมอ๋องผู้สำเร็จราชการ
ซู่เซิ่นฮุยควบม้ามาถึงช่องเขาที่อยู่ถัดไปไม่ไกล แล้วนำทุกคนหยุดม้าทอดสายตามองไปข้างหน้า
บุรุษร่างสูงใหญ่ปล่อยผมยาวสยาย อายุอานามไล่เลี่ยกับเขา ขึ้นขี่ม้าท่ามกลางวงล้อมของผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคน กำลังควบม้าด้วยความเร็วสูงตรงมาทางช่องเขานี้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงเผชิญหน้ากันตรงๆ
ฝ่ายตรงข้ามกระชากบังเหียนอย่างฉับพลัน อาชาที่อยู่ใต้ร่างสะบัดหัวดีดขาหน้าร้องฮี้ด้วยความตื่นกลัว คนที่ถูกธนูยิงเข่าเมื่อครู่นำผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนที่ไม่ได้ขึ้นขี่ม้าเหมือนกันมากระจายตัวเรียงแถวหน้ากระดานแล้วยิงธนูฟิ้วๆ ใส่ทางนี้ทันทีโดยไม่ยอมให้มีช่องว่างแม้ชั่วพริบตา
ชายผมสยายผู้นั้นแสดงฝีมือขี่ม้าอันล้ำเลิศ ทั้งที่ขาหน้าของม้ายังลอยขึ้นจากพื้น กลับสามารถดึงบังเหียนให้มันบ่ายหัวเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศแล้วขี่ควบไปอีกฝั่งหนึ่งของตีนเขาอย่างรวดเร็วภายใต้การอารักขาของคนที่เหลือ สามารถมองจุดประสงค์ได้อย่างชัดเจนว่าสี่คนข้างหน้ายอมใช้ชีวิตตนเองเข้าแลกกับเวลาช่วงสั้นๆ เพื่อที่คนด้านหลังจะได้มีโอกาสหนีรอด
หลิวเซี่ยงเคลื่อนไหวฉับไว ชั่วอึดใจที่คนผู้นั้นนำผู้ใต้บังคับบัญชายืนเรียงแถวหน้ากระดานน้าวสายธนูเตรียมยิง เขาก็ชักดาบพร้อมกระโดดลงจากหลังม้า ยกดาบขึ้นบังอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้พร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่วิ่งปรี่ออกมาจากด้านหลัง ตั้งใจจะใช้ดาบกันธนู ดาบใบกว้างหลายสิบเล่มเรียงต่อกันเป็นโล่โลหะสีขาววับ แน่นหนาชนิดที่อากาศยังแทรกผ่านไม่ได้ ดีดลูกธนูที่ยิงเข้าใส่ให้กระเด็นตกพื้นทั้งหมด
พร้อมกันนั้นกำลังพลอีกกลุ่มได้ไล่ตามชาวตี๋เจ็ดแปดคนที่พยายามหนีไป สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนเห่าอย่างบ้าคลั่งพลางวิ่งห้อปานลมพัด พอไล่กวดจนถึงบั้นท้ายอาชาก็กระโดดเข้ากัดทึ้งขาของมัน ม้าหวีดร้องเสียงแหลมพร้อมหยุดวิ่ง เตะขาอุตลุดเพื่อสลัดสุนัขออกไป คนบนหลังม้าร่วงตกพื้นแล้วถูกสุนัขรุมขย้ำซ้ำ เสียงร้องโหยหวนกับเสียงสุนัขเห่าดังไม่ขาดหู
สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่ม้าของชื่อซูแล้วกัดน่องเขาจมเขี้ยว องค์ชายแห่งเป่ยตี๋ข่มความเจ็บปวดสะบัดขาเตะมันออกไป เลือดไหลโกรกลงมาตามขาพร้อมเนื้อที่ฉีกรุ่งริ่งเป็นริ้ว สลัดตัวนี้ได้ อีกตัวก็โจนเข้ามากัดซ้ำเข้าที่น่องข้างเดิม จากนั้นตัวที่สามก็กระโดดมาฉีกทึ้งขาอีกข้าง เขาชักดาบฟันสุนัขร้ายกาจพวกนี้ทิ้ง พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็พบว่าคนต้าเว่ยกลุ่มใหญ่ขี่ม้ากรูเข้ามาทั้งทางซ้ายทางขวา ปรับกำลังคนเรียงแถวขวางหน้าพวกตนไว้อย่างรวดเร็ว
ณ เวลานั้นความสิ้นหวังและความหวาดกลัวเหมือนทะลักล้นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจแล้วห่อหุ้มเขาไว้ทั้งร่าง
แม้กระทั่งตอนบุกตะลุยฝ่าทหารนับหมื่นพันของข้าศึกเพื่อช่วยบิดา ชื่อซูยังไม่รู้สึกเช่นนี้ ชั่วขณะที่เสียสมาธิ ดาบในมือช้าลงเล็กน้อย สุนัขสามานย์อีกตัวฉวยโอกาสกระโจนเข้างับข้อมือเขา ปลายเขี้ยวแหลมคมเจาะลึกลงมาในผิวเนื้อ เจ็บเสียจนเขาเย็นวาบที่สันหลัง ดาบที่ถืออยู่ร่วงหลุดมือหล่นแกร๊งลงบนพื้น
“หนานอ๋อง! โดดหน้าผา!”
ผู้ติดตามคนหนึ่งพาตัวออกจากคมเขี้ยวสุนัขในสภาพโชกเลือดแล้ววิ่งหน้าตั้งมาหาเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ชื่อซูผงะ ใจเต้นแรง
นั่นสิ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าในวันนี้แล้ว แม้รู้อยู่เต็มอกว่าตกลงไปในเหวนั่นอาจไม่มีทางรอด เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากกระโดด…กระโดดลงไปเหมือนแม่ทัพหญิงผู้นั้น ไม่แน่ว่าอาจยังพอมีโอกาสรักษาชีวิตไว้ได้ หากต้องตายก็แสดงว่าสวรรค์เบื้องบนไม่อยากให้เขาอยู่ ไม่มีเสียหรอกที่เขาจะยอมปล่อยให้ตนเองกลายเป็นตัวประกันของชาวฮั่น ให้เป็นที่ตลกขบขันของพี่ๆ น้องๆ คนอื่น
หากถูกจับเป็นเชลยจริง แม้ภายภาคหน้าจะรอดกลับไปได้ แต่ก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความอัปยศอดสู ถ้าต้องอยู่เยี่ยงนั้นก็สู้ตายไปเสียดีกว่า