ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 36-37
หลิวเซี่ยงอุทานลั่น สุดจะคาดคิดว่าหนานอ๋องแห่งต้าตี๋จะใจเด็ดถึงเพียงนี้ ถึงกับตัดแขนตนเองทิ้งอย่างไม่สะทกสะท้านเพื่อหลบหนี
เขาถือสายโซ่ที่มีท่อนแขนชุ่มเลือดห้อยต่องแต่งยืนตะลึงงันอยู่กับที่ ครู่ใหญ่ถึงเพิ่งได้สติ เมื่อหันไปเห็นว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการตามมาแล้วก็รีบคุกเข่าให้
“กระหม่อมไร้สามารถ ไม่อาจจับมันไว้ได้ ปล่อยให้มัน…ร่วงลงไป…”
ซู่เซิ่นฮุยมองท่อนแขนบนพื้น แล้วเดินไปชะโงกหน้ามองตรงริมผาเล็กน้อย “ช่างเถิด คนใจเด็ดเยี่ยงนี้หาได้น้อยนัก ตกลงไปแล้วก็ตกลงไป ส่งคนลงไปดูซิว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”
ฟังจากน้ำเสียง อ๋องผู้สำเร็จราชการไม่คิดจะตำหนิเขาจริงๆ หลิวเซี่ยงรีบลุกขึ้นคัดเลือกผู้ใต้บังคับบัญชามารับหน้าที่ ตรงนี้ไม่มีเชือกที่ยาวพอ หากแต่เขาไม่รั้งรอ นำคนไปเสาะหาตรงหน้าผาที่เตี้ยและลาดกว่าในบริเวณใกล้เคียง แล้วไต่ลงไปช้าๆ
เฉินหลุนเดินเข้ามาหาระหว่างที่ซู่เซิ่นฮุยยังยืนอยู่ตรงริมผา
เมื่อครู่เขาเร่งมือสอบปากคำผู้ใต้บังคับบัญชาสี่คนของชื่อซูที่พยายามขวางพวกเขาไว้ มาตอนนี้ก็บอกเบาๆ “เจ้าพวกนี้มันปากแข็งเหลือเกิน กระทั่งโดนทรมานก็ยังไม่ยอมปริปาก เรื่องจะถามว่าพระชายาอยู่ที่ใดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูจากลักษณะ ในสี่คนนี้คนที่โดนยิงเข่าน่าจะเป็นหัวหน้า”
ซู่เซิ่นฮุยเดินกลับไปหยุดยืนตรงหน้าคนทั้งสี่
สุนัขพันธุ์ซี่เฉวี่ยนเห่าขรมอยู่รอบด้าน ก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนโดนทรมานอย่างหนัก ใบหน้าจึงขาวซีด กระนั้นแต่ละคนก็ยังเอาแต่หลับตา ไม่เคลื่อนไหว
อ๋องผู้สำเร็จราชการมองชายที่มีรูปร่างบึกบึนกำยำกว่าใคร แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้จักเจ้า หนูกาน เจ้าเป็นทหารกล้าอันดับหนึ่งขององค์ชายหกชื่อซู ข้าขอบอกให้เจ้ารู้ไว้ว่าองค์ชายชื่อซูหนีจนหมดทางไป เลยโดดหน้าผาไปแล้ว คาดว่าคงไม่รอด ข้าเคารพผู้กล้าเสมอ ยินดีไว้ชีวิตเจ้าให้ หากเจ้ายอมกลับตัวกลับใจ ข้าจะหาวิธีรับบิดามารดา ลูก และภรรยาเจ้ามาอยู่ในฉางอันอย่างเป็นสุข ฉางอันรุ่งเรืองเฟื่องฟูเพียงไร เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าน่าจะได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้ว ราชวงศ์ต้าตี๋ของเจ้ารับชาวฮั่นเป็นขุนนาง ส่วนต้าเว่ยเราเป็นดั่งมหาสมุทรที่โอบรับลำน้ำทุกสาย เหตุใดจะไม่มีที่ให้พวกเจ้าอยู่ เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
สามคนในพวกที่เหลือเหลือบตาขึ้นมอง และเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแห่งต้าเว่ยยืนพูดอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้านุ่มนวล
หนูกานยังคงหลับตานิ่ง ก่อนถ่มน้ำลายปนเลือดลงพื้นทีหนึ่งแล้วตอบอย่างเย็นชา “สองแคว้นเป็นศัตรู ในเมื่อพวกข้าตกอยู่ในกำมือพวกเจ้าชาวฮั่นแล้ว จะฆ่าจะแกงกันอย่างไรก็สุดแท้แต่ใจเถิด!”
ซู่เซิ่นฮุยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงแค่มองเจ้าตัวนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งเฉินหลุน “เช่นนั้นก็ทำตามที่เขาปรารถนา บั่นคอเขาไปให้สุนัขกินเสีย ถือเป็นการส่งลาองค์ชายหกแล้วกัน”
ระหว่างที่พูดอย่างนั้นน้ำเสียงของเขายังคงสงบนิ่ง ฟังแล้วไม่ต่างจากตอนที่พูดหว่านล้อมเมื่อครู่แม้แต่น้อย
เฉินหลุนรับคำ แล้วเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของตนมาจัดการ ผู้ใต้บังคับบัญชาสามสี่คนเข้ามาลากหนูกานที่ถูกจับมัดแยกจากพวกพ้องมากดไว้กับพื้น หนูกานดิ้นสุดแรงเกิดพร้อมด่ากราด นักรบที่เชี่ยวชาญการใช้ดาบผู้หนึ่งชักดาบออกมาพาดต้นคอเขา จากนั้นก็เริ่มเลื่อยกลับไปกลับมาจากด้านข้างลำคอเหมือนหั่นคอไก่
ทัณฑ์ทรมานเช่นนี้สร้างความกดดันพรั่นพรึงให้คนที่ดูอยู่ได้รุนแรงกว่าทัณฑ์หลิงฉือเสียอีก
เลือดทะลักจากรอยบั่นออกมาข้างนอก ตอนแรกหนูกานยังสบถไม่หยุดปาก ทว่าผ่านไปสักพักก็ด่าต่อไม่ออก เหลือเพียงเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน เลื่อยเช่นนี้อยู่หลายสิบครั้งจนลำคอขาดครึ่งหนึ่ง เสียงถึงค่อยๆ เงียบหาย จนสุดท้ายลำคอถูกบั่นขาดโดยสมบูรณ์ นักรบผู้นั้นจิกมวยผมหนูกานแล้วโยนศีรษะเจ้าตัวไปกลางฝูงสุนัขดุร้ายที่กระเสี้ยนกระสันเต็มแก่ ให้สุนัขดุร้ายหลายสิบตัวรุมกัดกิน ศีรษะกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นได้ไม่กี่ทีก็ถูกทึ้งเนื้อจนจำสภาพเดิมไม่ได้ น่าสยอนแสยงเป็นกำลัง
“ว่าอย่างไร มีพวกเจ้าคนใดอยากส่งลาองค์ชายหกอีกบ้าง”
ซู่เซิ่นฮุยหันไปถามอีกสามคนที่เหลือด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
ชาวเป่ยตี๋สามคนนั้นหน้าซีดไร้สีเลือด หันไปสบตากันแวบหนึ่ง แรกสุดยังไม่มีใครยอมพูดอะไร เฉินหลุนหันไปส่งสายตาให้นักรบที่ลงดาบเมื่อครู่ นักรบถือดาบชุ่มเลือดย่างสามขุมเข้ามากระชากคนหนึ่งขึ้นจากพื้น คนที่ถูกดึงขึ้นมาทำใจแข็งต่อไม่ไหว รีบละล่ำละลักเล่าเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนตั้งแต่ต้นจนจบ “…เดิมทีองค์ชายหกตั้งใจจะกลับไปเงียบๆ แต่มาได้รับข่าวอย่างไม่คาดคิดว่าชายาอ๋องอยู่ที่ตำหนักแปรพระราชฐานก็เลยเปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้องค์ชายพยายามชิงที่ราบชิงมู่กลับมาหลายครั้งหลายคราก็ไม่สำเร็จเสียที ถือเป็นผลเสียต่อองค์ชายอย่างมาก องค์ชายอยากสร้างผลงานด้วยการจับชายาอ๋องกลับไป…พวกเราทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง ยังคงไล่ตามชายาอ๋องอย่างไม่ยอมรามือ…ชายาอ๋องหนีอยู่สามวัน วันนี้พวกเราตามมาถึงที่นี่ นางน่าจะหนีขึ้นเขา องค์ชายหกจึงให้จุดไฟเผาภูเขาเพื่อบีบให้นางลงมา แต่นางเจ้าเล่ห์มากอุบาย…”
คนผู้นั้นชะงัก ก่อนจะกลบเกลื่อนเปลี่ยนคำพูดว่า “แต่นางฉลาดเฉลียวมากไหวพริบ! นอกจากพวกเราจะจับตัวนางไม่ได้แล้ว องค์ชายหกยังถูกนางจับเป็นตัวประกัน แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเสือโคร่งตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เปิดโอกาสให้องค์ชายหกรอดพ้นจากพันธนาการของนาง สุดท้ายชายาอ๋องถูกไล่ตามมาถึงริมหน้าผา องค์ชายหกบอกให้นางยอมแพ้ นางกลับหมุนตัวกระโดดจากหน้าผาเองโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว องค์ชายหกจะตามไปดึงไว้ก็สายเกินการณ์ ดึงนางไว้ไม่ทัน…เชื่อว่าเวลานี้นางน่าจะอยู่ข้างล่างเช่นกัน…ขออ๋องผู้สำเร็จราชการโปรดไว้ชีวิตด้วย…”
ยิ่งฟังซู่เซิ่นฮุยก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด คนผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ เขาก็วกกลับไปตรงริมผา แล้วชะโงกตัวมองลงไป
พวกเฉินหลุนรีบตามไปติดๆ เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการหน้าเขม็งตึง สองตาจ้องลงไปในหุบเหวดำมืดที่แสงไฟส่องลงไปไม่ถึง ลึกจนมองไม่เห็นก้น เขาเห็นแล้วพรั่นใจ หลังลังเลเล็กน้อยก็ปลอบว่า “ท่านอ๋องอย่าทรงกังวลไปเลย พระชายาเป็นคนดี สวรรค์ต้องคุ้มครอง เชื่อว่า…”
“ส่งกำลังคนทั้งหมดลงไป! เดี๋ยวนี้! จะต้องหานางให้พบให้ได้!”
เขาตัดบทเฉินหลุนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แล้วหมุนตัวเดินลิ่วๆ ออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ส.ค. 67