ห้วงเวลาในหอคัมภีร์โอ่อ่าทว่ามืดสลัวเหมือนหยุดอยู่กับที่ นกกินแมลงหัวดำตัวหนึ่งเผลอบินทะเล่อทะล่าเข้ามาโฉบผ่านบานหน้าต่างทิศใต้ไปอย่างลนลาน เรียกสตินางให้หลุดจากภวังค์ รอยยิ้มคลี่ตัวขึ้นบนดวงหน้างามอย่างรวดเร็ว
“หม่อมฉันได้ยินมาเช่นกันว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจะอภิเษกสมรสกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่เจียง เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงเสียกระมัง”
แม้จะพูดเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม ทว่าใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดฝาดก็ยังสะท้อนให้เห็นชัดอยู่นั่นเองว่าความรู้สึกเจ้าตัวในเวลานี้ปั่นป่วนว้าวุ่นเพียงไร
ดวงตาซู่เซิ่นฮุยฉายแววเวทนาแกมสงสาร กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ถูกต้อง พระพันปีเสียนอ๋องเสด็จไปเจรจาสู่ขอให้ข้าแล้ว ทรงถึงที่นั่นตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน หากไม่มีอะไรผิดพลาดทางเจียงจู่วั่งคงไม่ปฏิเสธข้า”
รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากเวินวันขณะลุกขึ้นจากเบาะรองนั่ง
“ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ หม่อมฉันเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพหญิงมาบ้างเช่นกัน รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ขอถวายพระพรให้ท่านอ๋องและแม่ทัพหญิงมีวาสนาได้ครองคู่กันจนแก่เฒ่า ไทเฮายังทรงรอให้หม่อมฉันกลับไปถวายรายงานอยู่ หม่อมฉันต้องขอทูลลาก่อน” นางค้อมศีรษะน้อยๆ เมื่อพูดจบ แล้วเดินออกจากหอคัมภีร์ด้วยฝีเท้ารัวเร็ว
“ช้าก่อน” เสียงทุ้มพลันดังขึ้นข้างหลัง
ปลายเท้าของเวินวันหยุดชะงักตรงหน้าธรณีประตู นางยกมือขึ้นจับวงกบประตูพยุงตัวไว้ ร่างทั้งร่างพลอยแข็งค้าง ทว่าไม่ได้หันไปมอง
“บุตรสาวสกุลเจียงเป็นหญิงที่เหมาะสมกับตำแหน่งชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการที่สุดแล้ว” หลังความเงียบปกคลุมอยู่สักพักบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นมาจากด้านหลังนาง
ในที่สุดเวินวันก็ค่อยๆ ผินหน้าไปมอง แต่มิได้พูดอะไรทั้งสิ้น
เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม สายตาทอดตรงมายังดวงหน้านาง
“วันเหนียง เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าหลังเสด็จพ่อสวรรคต ช่วงเวลาไม่กี่ปีบนราชบัลลังก์เสด็จพี่มิได้มีอำนาจเท่าเสด็จพ่อ สมุหกลาโหมถือตัวว่าอยู่ในฐานะสูงส่งและเคยสร้างความดีความชอบทางการศึก วางตัวเห่อเหิมหนักข้อขึ้นทุกวัน จนใจที่อีกฝ่ายมีอำนาจอยู่ในมือ เสด็จพี่ทรงเคยพยายามรวบรวมอำนาจทางกองทัพที่กระจัดกระจายกลับคืนมาอยู่หลายครั้ง เสียดายที่เจออุปสรรคขัดขวางมากมายจนต้องถอดพระทัย บัดนี้พอฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ สมุหกลาโหมก็ไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา ลอบส่งคนของตนเองเข้ามาแฝงตัวรอบพระวรกายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เสนาบดีในเมืองหลวงลงไปจนถึงขุนนางสำคัญในท้องที่ หากไม่กำจัดทิ้งเสีย อย่าว่าแต่พระประสงค์สุดท้ายของเสด็จพ่อเลย น่ากลัวว่าลำพังแค่จะรักษาราชสำนักให้สงบมั่นคงยังทำได้ยาก”
“ฮ่องเต้เซิ่งอู่มีพระประสงค์สุดท้ายหรือเพคะ”
หลังละล้าละลังอยู่สักพัก ในที่สุดนางก็เอ่ยถามเบาๆ
“ถูกต้อง” เขาพยักหน้า “เสด็จพ่อทรงมีความมุ่งมาดสองประการในพระชนม์ชีพ หนึ่งคือรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น ให้ทวยราษฎร์ทั้งผองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สองคือขับไล่ชาวตี๋ ชิงเมืองทางเหนือที่สูญเสียไปกลับคืนมา เล่นงานให้พวกมันไม่กล้ามองแดนใต้ตาเป็นมันอีก อนิจจาที่ไม่ได้มีพระชนม์ชีพจนถึงวันนั้น จึงทรงทำความปรารถนาในพระทัยให้เป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ทั้งหมด”
ความห่วงใยอันเข้มข้นสะท้อนออกมาในดวงตาเวินวัน นางหมุนตัวกลับมาหันหน้าเข้าหาบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะว่าเวลานี้ท่านอ๋องทรงถูกบีบคั้นเพียงไร ท่านสมุหกลาโหม…”
“สมุหกลาโหมถูกสังหารแล้ว” เขาบอกเรียบๆ
“ท่านอ๋องตรัสว่าอะไรนะเพคะ ท่านสมุหกลาโหม…” เวินวันตกตะลึงจนเสียงหาย คำพูดสะดุดลงกลางคัน
“เขาถูกสังหารแล้ว ถูกสังหารเมื่อครู่นี้นี่ล่ะ”
ดวงเนตรงามเบิกกว้าง เห็นชัดว่าเวินวันตื่นตระหนกเพียงไร นางพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เขาพลอยเงียบตาม ราวกับจมลงสู่ห้วงความทรงจำบางอย่าง ผ่านไปสักพักก็เหลือบตาขึ้นมองนางอีกครั้ง
“วันเหนียง สมัยอายุสิบเจ็ดข้าเคยไปเยี่ยมเยียนชายแดนแถบเยี่ยนเหมิน จำได้ว่าวันที่กลับถึงเมืองหลวง ทั้งที่เสด็จพ่อกำลังประชวรก็ยังมีรับสั่งให้ข้าเข้าเฝ้ากลางดึกคืนนั้น ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่เรื่องเล็กก็ทรงให้ข้าถวายรายงานโดยละเอียด คืนนั้นพวกเราสนทนากันจนฟ้าสาง เสด็จพ่อมิได้ตรัสออกมาชัดๆ แต่ข้ารู้ว่าเวลานั้นพระวรกายพระองค์อ่อนระโหยเต็มทีแล้ว หาไม่จะต้องเสด็จประพาสชายแดนด้วยพระองค์เองอย่างแน่นอน ภายหลังเมื่อใกล้เสด็จสวรรคตก็ทอดถอนพระทัยอย่างเสียดายสุดซึ้งที่ต้องจากไปทั้งที่มีเรื่องคาใจ”
“ท่านอ๋องทรงประสงค์จะทำความมุ่งมาดของฮ่องเต้เซิ่งอู่ให้เป็นจริง ไม่ให้พระองค์มีสิ่งใดค้างคาพระทัยหรือเพคะ” เวินวานถามเบาๆ
เขาพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้า