บทที่ 6
ไร้ความเคลื่อนไหว…
ซู่เซิ่นฮุยมองทางเดินที่ทอดตัวออกจากหอคัมภีร์ เพียงครู่เดียวก็กระจ่างแจ้ง ประกายดุดันในดวงตาอันตรธาน เขาตวัดสายตามองไปทางหน้าต่างทางทิศใต้
“ยังจะแอบอยู่อีก ออกมาเถิด!” เขาบอกซ้ำอีกครั้ง
สิ่งที่ตอบกลับประโยคนั้นคือเสียงกุกกัก จากนั้นศีรษะของใครคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากหน้าต่างทางทิศใต้ตามที่เขาบอกจริงๆ เป็นศีรษะของเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมหมวกใบเล็ก แต่งกายอย่างข้ารับใช้ในวังหลวง หน้าตาหล่อเหลา ทว่าดวงหน้ายังเจริญวัยไม่เต็มที่ เห็นได้จากไรขนอ่อนๆ บนริมฝีปากที่ฟ้องว่าเจ้าตัวยังสลัดความเป็นเด็กทิ้งไปไม่หมด
“เสด็จอาสาม!” ผู้มาใหม่ทำหน้าเบ้ใส่ซู่เซิ่นฮุย “เพิ่งจะย่องเข้ามาแท้ๆ ยังไม่ทันได้ลงไปนั่งยองๆ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว! ไม่สนุกเอาเสียเลย! ท่านเดาได้อย่างไรว่าเป็นข้า” คนถามทำหน้าขัดอกขัดใจ
ซู่เซิ่นฮุยไม่ตอบ แต่รีบลุกขึ้นรับรอง เอ่ยเรียกว่า “ฝ่าบาท” พลางค้อมกายคำนับเด็กหนุ่มผู้นี้
เด็กหนุ่มปรี่เข้ามาข้างในห้องแล้วยกมือห้าม ปากก็บ่นว่า “เสด็จอาสาม ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าเวลาไม่มีใครอยู่ด้วยไม่ต้องแสดงมารยาทมากมายเช่นนี้กับข้า!”
ซู่เซิ่นฮุยคำนับจนเสร็จแล้วยิ้มบางๆ “มารยาทจะงดเว้นไม่ได้ นี่เป็นธรรมเนียมระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง”
กลุ่มราชองครักษ์ที่วันนี้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของฮ่องเต้น้อยอย่างใกล้ชิดก็พากันโผล่ออกมาตรงสุดโค้งทางเดินนอกหอคัมภีร์แล้วเช่นกัน จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้ากริ่งเกรง
เด็กหนุ่มผู้นี้คือซู่เจี่ยน ฮ่องเต้น้อยวัยสิบสามพรรษาผู้ครองราชย์องค์ปัจจุบัน อีกไม่กี่เดือนในปีหน้าถึงจะอายุครบสิบสี่ แต่เพราะโตไวจึงดูเหมือนหนุ่มน้อยอายุสิบห้าสิบหกตั้งแต่ตอนนี้ พระมาลาประดับม่านมุกระย้ากับฉลองพระองค์ที่ใส่แต่เดิมหายไปหมด กลายเป็นใส่ชุดข้ารับใช้เสียได้
เขาพิจารณาการแต่งกายของเด็กหนุ่ม ทว่าไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใด
ฮ่องเต้น้อยเห็นผู้เป็นอามองมาที่ตนเองก็รีบชิงสารภาพก่อนโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถาม
“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านไม่ตามมาเสียที ไม่อยากกลับเข้าวังหลวงทั้งอย่างนี้ เลยสั่งให้ข้ารับใช้ถอดเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนบนรถม้า จากนั้นก็หาโอกาสลงจากรถม้ากลับมาหาท่าน เสด็จอาสาม ท่านอยู่ทำอะไรที่นี่กัน”
ซู่เซิ่นฮุยมองหลานชายอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ต่อให้รถม้าคันข้างหน้าของไทเฮาไม่ระแคะระคาย แต่ข้างหลังยังมีขุนนางใหญ่ตามมาเป็นพรวน หากลมไม่พัดเข้าตาจนมองอะไรไม่เห็น มีหรือจะปล่อยให้เจ้าทิ้งขบวนเดินอาดๆ ออกมากลางทาง”
เด็กหนุ่มรู้ว่าคงปิดไม่อยู่เสียแล้ว อีกประการหนึ่งอีกฝ่ายคือเสด็จอาสามที่เขารู้สึกสนิทชิดเชื้อด้วยมากที่สุดมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีเรื่องใดเล่าให้ฟังไม่ได้ อีกทั้งแต่ก่อนเรื่องเหลวไหลยิ่งกว่านี้เขาก็เคยทำมาแล้ว
ซู่เจี่ยนยอมสารภาพแต่โดยดีว่าเมื่อผ่านทางโค้งที่มีแนวป่าย่อมๆ ตนรอให้รถม้าของไทเฮาเลี้ยวลับไปก่อนจึงค่อยสั่งให้หยุดรถม้าโดยเร็ว อ้างว่าปวดเบา พอลงมาแล้วก็เดินเข้าป่า บังคับให้หนึ่งในข้ารับใช้ที่ติดตามสลับเสื้อผ้ากับตนเอง แล้วสั่งให้พวกที่เหลือห้อมล้อมข้ารับใช้ผู้นั้นพากลับขึ้นรถม้าออกเดินทางต่อ เหล่าขุนนางที่หยุดรอเขาไม่ล่วงรู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นรถม้าของเขาเลื่อนล้อก็พากันเคลื่อนขบวนตาม เขาเลยแอบหนีมาได้ด้วยเหตุนี้
ระหว่างไล่เรียงลำดับขั้นตอนการหนีขบวนของตน ฮ่องเต้น้อยยังหัวเราะร่าอย่างกระหยิ่มใจ
“โอ๊ย ช่างน่าขันเป็นที่สุดเลย! ในขบวนมีคนตั้งเยอะ แต่ไม่มีใครจับได้เลยสักคนเดียว นึกว่าข้ากลับขึ้นรถม้าไปแล้วจริงๆ!”
ซู่เซิ่นฮุยมุ่นหัวคิ้ว “ฝ่าบาท เดี๋ยวนี้พระองค์ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะ…”
เขาเพิ่งจะพูดออกมาเพียงเท่านั้นก็ถูกฮ่องเต้น้อยตัดบท
“เสด็จอาสาม ข้าทราบว่าท่านอยากพูดอะไร! ไม่ต้องรอให้ท่านบอกหรอก ราชครูติงพูดกรอกหูข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนหูข้าแทบเป็นสิวอยู่แล้ว! ใช่ ข้ารู้ว่าอะไรคือความน่าเกรงขามของโอรสสวรรค์ ข้าต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าไม่ได้ออกมานอกวังหลวงครึ่งปีกว่าแล้วนะ! ข้าอึดอัดแทบตาย ต่อให้ไม่อึดอัดตายก็ต้องเหนื่อยตาย! วันนี้อุตส่าห์ได้มีโอกาสออกมาทั้งที เสด็จอาสาม ถือว่าสงสารข้าเถิด อย่าพร่ำสอนข้าอีกเลย!” พูดจบก็ทอดถอนใจ “หากเสด็จพี่รัชทายาทของข้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่คงจะดีมาก ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้ ได้ใช้ชีวิตสบายๆ มีความสุขไปวันๆ เหมือนแต่ก่อน…”