ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 5-6
หลายปีก่อนเสด็จพี่รัชทายาทของเขาออกจากวังหลวงไปล่าสัตว์แล้วประสบเหตุไม่คาดฝันระหว่างขี่ม้าจนถึงแก่ชีวิต ภายหลังสืบรู้ว่าเป็นแผนร้ายของตระกูลฝั่งมารดาองค์ชายรอง ลอบใช้ขี้ผึ้งหนาผนึกยาพิษที่มีฤทธิ์ทำให้ม้าคลุ้มคลั่งแล้วนำมาผสมในหญ้าเลี้ยงม้าให้มันกินเข้าไป เมื่อขี้ผึ้งละลายหมดพิษก็ออกฤทธิ์ อาชาดีดขาอย่างบ้าคลั่ง สลัดเหล่าองครักษ์ที่ติดตามเอาไว้ข้างหลัง รัชทายาทไม่มีกำลังจะหยุดม้าด้วยตนเอง สุดท้ายจึงต้องจบชีวิตตามมันไป
เมื่อสืบต้นสายปลายเหตุจนกระจ่าง องค์ชายที่พัวพันถูกลงโทษสถานหนัก เพราะเหตุนี้ราชบัลลังก์จึงมาตกอยู่กับซู่เจี่ยน
แม้จะเป็นองค์ชายองค์หนึ่ง แต่เนื่องจากยังเยาว์วัย ซ้ำแต่ก่อนสกุลหลันของมารดาก็มิได้สูงส่งหรือสำคัญอะไรนัก อนาคตเขาคงแค่ได้ครองตำแหน่งอ๋องลอยๆ มีความสุขกับชีวิตที่ไร้ความวุ่นวายไปวันๆ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่มีใครสนใจเขา ซู่เจี่ยนชอบไปขลุกอยู่กับฉีอ๋องเสด็จอาสามของตน ด้วยนิสัยใจกล้าซุกซน สมัยก่อนจึงคอยจ้องหาโอกาสแอบหนีออกจากวังหลวงไปเล่นที่จวนฉีอ๋องอยู่เสมอ แต่เพราะเขาเป็นแค่องค์ชายธรรมดา ซ้ำฮ่องเต้หมิงตี้ยังรักใคร่แน่นแฟ้นกับน้องสามของตนเป็นอย่างยิ่ง แม้พฤติกรรมซุกซนของโอรสองค์นี้จะมาถึงหู แต่ในเมื่อเจ้าตัวสนิทสนมกับฉีอ๋อง ฮ่องเต้หมิงตี้จึงทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มิได้สั่งห้ามเป็นพิเศษ ทว่านี่กลับกลายเป็นการบ่มเพาะนิสัยไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ให้ซู่เจี่ยน ต่อมาโชคชะตาเล่นตลกให้เขาต้องสืบราชบัลลังก์ ชีวิตก็พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในแต่ละวันเขามีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และกฎเกณฑ์ข้อจำกัดที่ต้องเผชิญมากเพียงไร
ทั้งที่ผ่านมานับปีแล้ว จวบจนบัดนี้ซู่เจี่ยนก็ยังไม่ชินกับชีวิตแบบใหม่นี้เสียที ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขาสุขุมสำรวมกิริยาจนดูนิสัยซุกซนไม่ออก วันนี้พอสบโอกาสนิสัยเดิมๆ จึงแผลงฤทธิ์ขึ้นมาใหม่
ซู่เซิ่นฮุยฟังหลานชายอุทธรณ์แล้วคิดได้ นับจากขึ้นครองราชย์มาตั้งแต่ปีกลายหลานชายผู้นี้นับว่าขยันมากแล้วจริงๆ พยายามเรียนรู้ทุกอย่างจนเข้าขั้น แตกฉานวิชาในระดับที่ราชครูติงยอมรับ เขาลองถามดูทีไร ทุกครั้งก็จะได้รับคำตอบว่า ‘ฝ่าบาทมีพระสติปัญญาเฉียบแหลม มีความก้าวหน้าในทุกวัน เสียอย่างเดียวตรงที่นิสัยยังไม่สุขุมพอ บางครั้งเกียจคร้านอยู่บ้าง หากปรับปรุงข้อนี้ได้จะประเสริฐยิ่ง’
ราชครูติงเป็นคนรอบคอบ สัตย์ซื่อตรงไปตรงมา ถึงขั้นขวานผ่าซากในบางครั้ง ไม่เคยมีพฤติกรรมปากไม่ตรงกับใจ แสดงความเห็นเช่นนี้ได้ย่อมหมายความว่าหลานชายเขามีความก้าวหน้าจริงๆ
คนก็เหมือนต้นกล้า คิดจะดึงรั้งเพื่อเร่งโตมีแต่จะสร้างความกดดันให้ต้นกล้าเฉาตาย
คิดได้เช่นนี้ น้ำเสียงเขาก็นุ่มนวลขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย ต้องทบทวนวิชาตัวเป็นเกลียว ไหนจะต้องศึกษาฎีกาเพื่อจัดการงานราชกิจอีก เจ้าเลื่อมใสเสด็จปู่ยิ่งกว่าใครทั้งนั้นไม่ใช่หรือ สมัยที่เสด็จปู่ของเจ้ายังมีพระชนม์ชีพ เหล่าผู้มีอำนาจในแผ่นดินตั้งตัวเป็นอิสระ สถาปนาแคว้นน้อยใหญ่ขึ้นมากมาย แล้วทำสงครามรบพุ่งกันไม่หยุด เวลานั้นข้าอายุน้อยกว่าเจ้า อายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้นแต่กลับจำได้จนถึงวันนี้ว่าตอนกลางวันเสด็จปู่ของเจ้าทรงขี่ม้ากรำศึก พอตกกลางคืนยังทรงตรวจฎีกาด่วนที่ให้ม้าเร็วนำมาถวายถึงกระโจมในกองทัพ ไม่เคยที่จะหยุดพักเลย ความตรากตรำของพระองค์อยู่เหนือกว่าความเหนื่อยยากของเจ้าและข้าในทุกวันนี้มากนัก หากต่อไปเจ้าอยากเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างเสด็จปู่ ความเหน็ดเหนื่อยในวันนี้คือบันไดที่เจ้าจำต้องไต่ขึ้นไป”
เขาพูดประโยคหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยก็พยักหน้าทีหนึ่งเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร พอฟังผู้เป็นอาพูดจบก็โบกมือร้องว่า “ข้าจะจำไว้!” แล้วโผเข้ามากระแซะข้างๆ จากนั้นก็เหลียวกลับไปมองตามทางที่ตนมาเมื่อครู่ ก่อนจะลดเสียงเอ่ยเบาๆ “เสด็จอาสาม ตอนที่เข้ามาข้าเห็นบุตรสาวสกุลเวินเดินออกไปพอดี ข้าไม่อยากพบกับนางเลยหาที่หลบ แต่เห็นนางก้มหน้าเดินลิ่วๆ ลูกตาแดงก่ำราวกับเพิ่งร้องไห้…”
ซู่เจี่ยนทำสีหน้ากรุ้มกริ่มพลางขยิบตาให้เสด็จอาสามของตน
“เสด็จอาสาม หรือว่านาง…”
“สมุหกลาโหมตายแล้ว” ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยปากพูดแทรก
ฮ่องเต้น้อยผงะอึ้ง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง วาจาที่เมื่อครู่จะเอ่ยออกมาถูกโยนทิ้งไปไกลลิบ สองตาเบิกกว้างจนกลมโต “เสด็จอาสามว่าอย่างไรนะ สมุหกลาโหมตายแล้ว?!”
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า
ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม ซู่เจี่ยนก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว แล้วตบหน้าผากตนเองดังฉาด
“ข้าเข้าใจแล้ว! ตอนท่านรีบร้อนออกไปข้างนอกเมื่อเช้าข้าเห็นเขาลุกตามออกไป แต่ตอนท่านกลับมาเขาไม่ได้ตามกลับมาด้วย ขากลับวังหลวงก็ไม่เห็น! หรือว่าระหว่างช่วงเวลานั้นเสด็จอาสามจะ…”
ซู่เซิ่นฮุยพยักหน้าอีกครั้งแล้วเอ่ยชม “ฉลาดอย่างที่คิด”
ฮ่องเต้น้อยอ้าปากค้าง ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ชั่วอึดใจ จากนั้นอยู่ๆ ก็กระโดดตัวลอยแล้วหมุนตัวกลางอากาศเหมือนแมลงปอจนหมวกเล็กที่อยู่บนศีรษะกระเด็นหลุด จังหวะที่สองเท้าตกลงบนพื้นเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดังลั่นจนนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ในบริเวณนั้นพากันบินฮือขึ้นฟ้าอย่างแตกตื่น
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!” ซู่เจี่ยนย่ำเท้ากำมือแน่นอย่างตื่นเต้นพลางต้อนหน้าต้อนหลังผู้เป็นอา ท่าทางเริงร่าเบิกบานราวกับหนูที่บังเอิญพลัดตกลงไปในถังข้าวสารอย่างนั้น
“ก่อนเสด็จสวรรคตเสด็จพ่อทรงแต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษาราชการเพื่อสะกดความทะเยอทะยานของเขาเท่านั้นเอง ในที่สุดตอนนี้เขาก็ทนอยู่เฉยไม่ไหว หมายจะลงมือแล้ว! แต่ไม่คาดคิดว่าเสด็จอาสามกำลังรอให้เขาเคลื่อนไหวนี่ล่ะ มิเช่นนั้นก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้เสียที! ตาเฒ่านั่นน่าจะตายไปเสียตั้งนานแล้ว!”