ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 5-6
ฮ่องเต้น้อยหัวเราะร่วนอีกครั้ง “ฮ่าๆๆ…ประเสริฐแท้! ตาเฒ่าตายไปได้เสียที! ทีนี้อย่าได้คิดจะขึ้นมาขี่หัวข้าอีกเลย! เสด็จอาสามยังจำได้หรือไม่ว่าเดือนก่อนข้าให้คนนำผลไม้ที่ทางใต้ส่งมาเป็นบรรณาการไปให้ท่านที่จวน ข้ารับใช้แอบมาบอกข้าว่าก่อนผลไม้เหล่านั้นจะเข้าวังหลวงก็โดนหลานชายตาเฒ่าดักไว้ก่อน อ้างว่าช่วงนี้ตาเฒ่าปากจืด กินอะไรไม่รู้รส เลือกเอาไปแต่ของดีๆ ทั้งนั้น ถึงค่อยส่งที่เหลือเข้าวังหลวง! ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงปล่อยผ่านไป ไม่ได้เล่าให้เสด็จอาสามฟังเพราะท่านงานยุ่ง ถุย! น้ำหน้าอย่างมันน่ะหรือ! ข้าไม่เสียดายของกินหรอก แต่ถ้าจะเลือกของดีให้ใครเป็นอันดับแรกก็ควรนำไปแสดงความกตัญญูต่อเสด็จอาสามต่างหาก อย่างมันมีสิทธิ์ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็จับไหล่ซู่เซิ่นฮุยเขย่าโดยแรงพลางแหงนหน้ามอง ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความภาคภูมิใจระคนเลื่อมใส
“เสด็จอาสาม เสด็จอาที่รักของข้า! ท่านเก่งกาจอะไรเยี่ยงนี้! กำจัดคนทั้งคนทิ้งได้อย่างเงียบเชียบ! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าที่แท้การมาไหว้พระวันนี้ยังมีแผนการแยบยลซ่อนอยู่เบื้องหลัง! ข้าดูไม่ออกแม้แต่นิดเดียวจริงๆ ขากลับไม่เห็นตาเฒ่านั่นตามมาเสียที ข้ายังคิดในใจเลยว่ามันไปที่ใดของมันกันแน่!”
ซู่เซิ่นฮุยรอจนหลานชายคลายความตื่นเต้นลงก็เชิญให้อีกฝ่ายนั่ง แล้วจึงอธิบายอย่างเคร่งขรึม กล่าวอย่างเป็นทางการว่า “ฝ่าบาท ความจริงเรื่องใหญ่เช่นวันนี้กระหม่อมควรทูลให้พระองค์ทราบก่อน แต่สมุหกลาโหมเป็นคนสายตาเฉียบแหลม กระหม่อมเกรงว่าหากมาถึงที่แล้วฝ่าบาทเก็บพระอาการไม่อยู่ เผลอแสดงออกมาทางสีพระพักตร์จนเขาเห็นแล้วเอะใจขึ้นมา ทีนี้อย่าว่าแต่จะวางแผนเล่นงานมันซ้ำสองเลย เวลานี้เกรงว่าจะปั่นป่วนวุ่นวายทันทีด้วยซ้ำ ก่อนเสด็จสวรรคตฮ่องเต้องค์ก่อนได้ทรงมอบหมายเรื่องนี้ให้กระหม่อมจัดการ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะทำสำเร็จจนได้ สองปีที่ผ่านมาฝ่าบาทต้องทรงทนคับข้องใจมามาก เป็นเพราะกระหม่อมไร้สามารถโดยแท้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยให้กระหม่อมที่ลงมือทำไปโดยไม่กราบทูลด้วยเถิด”
ฮ่องเต้น้อยยิ้มตาหยีพลางโบกมือ “เสด็จอาสามพูดอะไรอย่างนั้น ข้าจะตำหนิติเตียนท่านได้อย่างไร! เสด็จอาสามคิดการได้รอบคอบยิ่งแล้ว! ขอเพียงกำจัดมันทิ้งได้ จะทำอย่างไรข้าก็ไม่ว่าหรอก!”
คำว่า ‘กำจัด’ ถูกเค้นเสียงลอดไรฟัน นัยน์ตาวาวโรจน์
ซู่เซิ่นฮุยยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าวันนี้กำจัดสมุหกลาโหมทิ้งสำเร็จ สมัครพรรคพวกในเมืองหลวงก็ถูกจับทั้งหมด แต่แมลงร้อยขาต่อให้ตายแล้วก็ยังดิ้นได้ หากคาดการณ์ไม่ผิด พวกที่มีใจเป็นอื่นย่อมจะตอบสนองต่อเรื่องนี้เป็นแน่ ซ้ำยังจะเคลื่อนไหวรุนแรงอีกด้วย แต่ก็คาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าผลที่ตามมาต้องเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรสมุหกลาโหมก็ตายไปแล้ว พวกที่เหลือมีแต่ทำการใหญ่ไม่เป็น ไม่น่ากลัวนักหรอก”
ฮ่องเต้น้อยพยักหน้า “ข้ารู้ เฉิงอ๋องแห่งเมืองชิงโจวสินะ เขาเข้ากันกับตาเฒ่านั่นประหนึ่งเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกเลยทีเดียว! กองทัพมาขุนพลต้าน น้ำบ่ามาเขื่อนดินกั้น! ขอเพียงเสด็จอาสามยังอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก!” พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาก็กลอกทีหนึ่ง ก่อนจะตบหน้าผากตนเองโดยแรงอีกครั้ง “ข้าเข้าใจอีกอย่างแล้ว!”
“เข้าใจอะไรอีกเล่า” ซู่เซิ่นฮุยถามอย่างเป็นกันเอง ไม่ได้มีท่าทางจริงจังเคร่งขรึมอีก
“ก่อนหน้านี้เสด็จอาสามตั้งใจปล่อยข่าวว่าจะสู่ขอบุตรสาวของเจียงจู่วั่งมาเป็นชายาเพื่อยั่วยุตาเฒ่านั่นแน่ๆ ใช่หรือไม่ ในเมื่อวันนี้กำจัดมันได้แล้ว เสด็จอาสามก็ไม่จำเป็นต้องสู่ขอนางจริงๆ! วิเศษยิ่งนัก! เร็วเข้า ตอนนี้ยังทัน รีบส่งคนไปตามเสด็จปู่กลับมาเถิด! มิเช่นนั้นหากตกลงกันแล้วจะแก้ไขไม่ได้ เช่นนั้นเสด็จอาสามก็น่าสงสารแย่สิ”
เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้อย่างรีบร้อน ทำท่าจะวิ่งออกไปเรียกข้ารับใช้ข้างนอก
“ฝ่าบาท!” เสียงผู้เป็นอาดังขึ้นข้างหลัง
ฮ่องเต้น้อยชะงักเท้าพร้อมหันไปมอง เห็นฝ่ายนั้นอมยิ้มบางๆ “เจ้าพูดถูกต้องเพียงกึ่งหนึ่ง ข้าทำไปเพื่อยั่วยุเกาอ๋องจริงๆ แต่เรื่องสู่ขอก็เป็นความจริงเช่นกัน”
ซู่เจี่ยนจำต้องวกกลับมาใหม่
“เสด็จอาสาม ข้ารู้ว่าท่านอยากใช้บุญคุณซื้อใจเจียงจู่วั่ง แต่ท่านทำเช่นนี้มิเท่ากับทรมานตนเองหรอกหรือ! ได้ยินว่าบุตรสาวของเจียงจู่วั่งมีหมาป่าเป็นมารดาในวัยเยาว์ ต้องดื่มเลือดในคืนจันทร์เพ็ญ หาไม่จะกลายร่างเป็นหมาป่าเขี้ยวยาวแหลมคม!” สองมือทำท่าทำทางประกอบคำพูดไปด้วย ดวงตาเบิกกว้าง “ต่อให้เรื่องนั้นเป็นเพียงข่าวลือ แต่บุตรสาวเจียงจู่วั่งเติบโตมาในค่ายทหารทางเหนือแต่เล็กแต่น้อย เมื่อเติบใหญ่ก็ออกศึกเข่นฆ่าคน เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน! ดังนั้นต่อให้นางไม่มีเขี้ยวยาวแหลมคมก็ต้องหน้าตาอัปลักษณ์ กิริยาหยาบกระด้าง…”
ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยขัดคำพูดหลานชาย “ฝ่าบาท! หากบุรุษสักคนเติบโตมาในค่ายทหาร ออกศึกเข่นฆ่าศัตรูเช่นนาง ฝ่าบาทยังจะทรงใช้รูปโฉมอันอัปลักษณ์และกิริยาอันหยาบกระด้างมาตัดสินเขาหรือไม่ ฝ่าบาทไม่ทรงกลัวจะทำลายกำลังใจอันฮึกเหิมของเหล่าทหารกล้าที่เข่นฆ่าศัตรูเพื่อราชสำนักให้ฝ่อลงหรือ”
เด็กหนุ่มหน้าร้อนวาบ “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้น แต่…แต่ข้าแค่รู้สึกว่า…”
มาถึงตรงนี้เขาก็คอตก ไม่พูดอะไรอีก
ตอนแรกซู่เซิ่นฮุยยังใช้น้ำเสียงเฉียบขาดอยู่บ้าง พอเห็นท่าทางเช่นนั้นของหลานชาย สีหน้าก็นุ่มนวลขึ้น พูดอย่างเป็นกันเองว่า “เจี่ยนเอ๋อร์ เสด็จอาสามอยากให้เจียงจู่วั่งรู้ว่าราชสำนักให้ความสำคัญกับเขาอย่างแท้จริง หวังว่าเขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อราชสำนักโดยไม่คิดเป็นอื่น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.ค. 67