ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63
แต่ไหนแต่ไรผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเคร่งครัดเสมอ ตอนกลางวันทั้งกองกำลังแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อย กระจายตัวกันกบดานตามป่า เชิงเขา ทุ่งหญ้า และที่ซ่อนตัวใดก็ตามที่หาเจอ ในระยะที่ไม่ไกลเกินกว่าจะติดต่อกันได้ ครั้นพอฟ้ามืดก็รวมพลออกเดินทางต่อ ใช้วิธีกลางวันซุ่มกลางคืนโผล่เคลื่อนพลไปข้างหน้าอย่างใจเย็น
จริงอยู่ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวกินเวลาไปบ้าง แต่เพียงไม่นานความรอบคอบระมัดระวังนี้ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด คงเพราะกำลังทำศึกกับทางต้าเฮ่อ พื้นที่แถบนี้จึงเริ่มมีคนเดินสารและหน่วยสอดแนมให้เห็นระหว่างทางหนาตาขึ้นทุกที บางครั้งกระทั่งในยามวิกาลยังพบเจอ โชคดีที่พวกนางยึดความไม่ประมาทเป็นที่ตั้ง คืนนี้หลังจากเดินทัพมาทั้งคืน สุดท้ายตอนฟ้าสางก็สามารถทิ้งพื้นที่ระหว่างกลางซึ่งอันตรายที่สุดเอาไว้ข้างหลังได้เสียที ก่อนจะเข้าสู่เขตรกร้างอีกครั้งในช่วงกลางวันของวันที่เก้า
ด้วยความเร็วในการเดินทัพเช่นนี้ หากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายใดๆ อีกสามวันให้หลังทุกคนก็จะไปถึงแนวชายแดนอันหลง
แนวชายแดนอันหลงเป็นปราการชายแดนที่ในอดีตแคว้นจิ้นสร้างขึ้นเพื่อป้องกันเป่ยตี๋ เป็นพื้นที่สำคัญที่นางต้องผ่านในการเดินทัพด้วยเส้นทางเหนือไปยังแปดดินแดน ทั้งยังเป็นจุดที่นางไม่มั่นใจที่สุด เป็นอุปสรรคที่หนีไม่พ้น และเป็นด่านที่นางต้องพิชิตให้ได้ในแผนการครานี้ เป่ยตี๋ยกทัพไปแปดดินแดนก็คงผ่านแนวชายแดนอันหลงเช่นกัน ที่นั่นจะต้องมีกองทหารตรึงกำลังรักษาการณ์อยู่แน่นอน คะเนว่าไม่น่าจะเป็นกองกำลังขนาดใหญ่นัก แต่ก็ไม่มีทางงอมืองอเท้าปล่อยให้นางเอาชนะได้
เจียงหานหยวนกับผู้ใต้บังคับบัญชาสองพันนายเตรียมใจทำศึกอย่างดุเดือดไว้แล้ว แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือบุกโจมตีสายฟ้าแลบให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวไม่ติด นางให้เวลาตนเองสามวัน สามวันนี้จะต้องพิชิตแนวชายแดนอันหลงให้ได้ หากยืดเยื้อนานกว่านี้ ไม่เพียงแต่เมืองเฟิงเยี่ยจะตกอยู่ในวิกฤต เสบียงที่พวกนางนำมาด้วยก็จะหมดลงเช่นกัน
ขอเพียงทะลุผ่านแนวชายแดนอันหลงไปได้อย่างราบรื่น ข้างหน้าก็เป็นเมืองเฟิงเยี่ยแห่งแปดดินแดนแล้ว
ในคืนนั้นกองพลทหารม้าลาดตระเวนเคลื่อนตัวเลียบกำแพงหมื่นหลี่ที่ถูกปล่อยร้าง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกต่อ พอยามไฮ่อากาศก็แปรปรวนกะทันหัน ฝนซัดกระหน่ำลงมา
เมื่อคืนเดินทัพกันทั้งคืน วันนี้ตอนกลางวันก็ได้พักเพียงครึ่งวันเท่านั้น นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนอ่อนแรงเต็มที สมควรหาที่พักผ่อน มิหนำซ้ำฝนยังตกลงมาอย่างปุบปับ ทว่าเท่าที่มองเห็นในระยะสายตาพื้นที่แถบนี้มีแต่ทุ่งเวิ้งว้างอันเต็มไปด้วยก้อนหินกับวัชพืช แทบหาต้นไม้ไม่เจอ ไม่มีที่ใดพอจะให้หลบฝนค้างแรมได้เลย
ฝนตกหนักขึ้นทุกที ไม่ทันไรทุกคนก็เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า เกือกม้าเริ่มลื่น ทุกชีวิตอ่อนล้าเป็นกำลัง จางจวิ้นนำคนกลับมาจากสำรวจพื้นที่ บอกว่าไปดูแถวนี้มาหมดแล้ว ไม่พบจุดที่เหมาะจะให้แวะหลบฝนและพักผ่อนแม้แต่จุดเดียว
“ช่างเถิด! ท่านแม่ทัพ ไม่ต้องหาแล้วล่ะ จะไปกลัวอะไรกับฝนแค่นี้! เดินทางต่อเถิด ต่อให้หยุดพักที่นี่ฝนก็ไม่ซาลงหรอก!” หยางหู่ปาดน้ำฝนออกจากใบหน้าพลางร้องบอกเสียงดัง
คนอื่นพากันแสดงความเห็นพ้อง เพราะคิดแบบเดียวกัน
เจียงหานหยวนนิ่งใช้ความคิด ทันใดนั้นก็นึกถึงจุดหนึ่งบนแผนที่ขึ้นมาได้ นางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย มองผืนฟ้าฉ่ำฝนยามรัตติกาลที่เป็นสีดำสนิท แล้วว่า “จากที่นี่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราวสิบหลี่น่าจะมีโรงทหารของแคว้นจิ้นในอดีต สร้างไว้สำหรับกองทหารรักษาการณ์หอคอยควันสัญญาณบริเวณนี้ น่าจะถูกทิ้งร้างไปแล้ว ฝนตกหนักเหลือเกิน ไปดูกันหน่อยดีกว่า ไม่ไกลหรอก!”
ทุกคนเหนื่อยล้าเต็มที แต่ข้างหน้าไม่มีที่ให้ค้างแรม จึงต้องไปต่ออย่างไม่มีทางเลือก มาตอนนี้แม่ทัพหญิงบอกว่ามีโรงทหารตรงใจพวกเขาพอดี คำสั่งถูกถ่ายทอดลงไปอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารหาญรวมพลตามเจียงหานหยวนมุ่งหน้าหาโรงทหารที่นางบอก พอใกล้ถึงที่หมายก็ให้จางจวิ้นนำคนไปดูลาดเลาก่อนเหมือนเดิม
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มรู้สึกหนาว รออยู่สักพักก็เห็นจางจวิ้นควบม้ากลับมาพลางตะโกน “ท่านแม่ทัพ! ข้างหน้ามีโรงทหารร้างจริงๆ ขอรับ ขนาดใหญ่โตโอ่โถง สามารถใช้เป็นที่ค้างแรม ข้างหลังยังมีป่า เอาม้าไปผูกได้!”
เจียงหานหยวนพรูลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟัง พวกหยางหู่ก็หน้าบาน ทุกคนเร่งควบม้าตามจางจวิ้นไปอย่างตื่นเต้นดีใจ เพียงครู่เดียวก็มาถึงโรงทหารดังกล่าว
เป็นดังที่จางจวิ้นบอก ที่นี่โอ่โถงกว้างใหญ่ สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม กั้นข้างหน้าและข้างหลังออกจากกัน เดิมทีมีกำแพงรายรอบ ทว่าขาดการบำรุงรักษา ผ่านไปนานวันเข้าจึงทรุดลงมาหลายจุด หลังคาด้านในก็มีแต่รอยรั่ว แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าตากฝนอยู่ข้างนอกเป็นไหนๆ
ทหารทุกนายผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อถึงที่พักก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างว่องไวไม่ลนลาน โดยหาที่ผูกม้าของตนและป้อนอาหารมันก่อน จากนั้นจึงค่อยดูแลตนเอง
เวลาออกมาทำศึกข้างนอกทุกคนจะมีถุงสัมภาระติดตัวหนึ่งใบ ถุงสัมภาระนี้เย็บจากผ้าเคลือบน้ำมันซึ่งมีสรรพคุณกันน้ำ ข้างในบรรจุของจำเป็นอย่างหินจุดไฟ เสบียงกรัง และเสื้อผ้า โดยจะผูกไว้บนหลังม้าของตนเอง ทว่าในสถานการณ์ที่ไม่อาจรับรองความปลอดภัยได้เต็มที่เช่นคืนนี้เจียงหานหยวนไม่อนุญาตให้นำถุงสัมภาระเข้ามาเป็นตัวถ่วง เพื่อที่ว่าหากเกิดอะไรขึ้นทุกคนจะได้ใช้เวลาตอบสนองต่อสถานการณ์ให้สั้นที่สุดและไปจากที่นี่ได้อย่างทันท่วงที
นางสั่งว่าให้นำของจำเป็นที่ขาดไม่ได้อย่างเสบียงกรังและอาวุธติดตัวไว้ได้เท่านั้น อย่างอื่นให้ทิ้งไว้บนหลังม้าทั้งหมด และเนื่องจากเกรงว่าแสงไฟจะนำภัยมาถึงตัว จึงไม่ให้ใครก่อไฟ เว้นแต่จุดให้แสงสว่างช่วงสั้นๆ เท่านั้น หลังเข้ามาข้างในโรงทหารร้างทุกคนก็บิดน้ำออกจากเสื้อผ้า กินอาหารเล็กน้อย จากนั้นก็รีบดับไฟ แบ่งกำลังพลบางส่วนมาเฝ้ายาม ส่วนคนที่เหลือล้มตัวลงนอนกับพื้น
เจียงหานหยวนจัดการกับเสื้อผ้าเปียกชุ่มบนร่างอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็นั่งพิงผนังตรงมุมด้านในสุด หยางหู่ล้มตัวนอนขวางห่างจากปลายเท้านางไปสองสามก้าว หันหลังมาทางนี้ ใช้ร่างตนเองกั้นพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ ให้ผู้บังคับบัญชา อีกด้านหนึ่งของเขาคือบรรดาสหายทหารที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากการเดินทาง เวลานี้นอนเรียงกันเป็นแถวอยู่บนพื้น ไม่ทันไรก็หลับไปทีละคน
การค้างแรมลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเจียงหานหยวน ตอนนี้นางเองก็อิดโรยเช่นกัน หญิงสาวนั่งในความมืดอยู่ครู่หนึ่ง สดับฟังเสียงกรนของทหารที่หลับไปแล้ว จากนั้นก็เอนตัวลงบ้าง จะได้หลับไปโดยเร็ว
อาฝานออกไปอยู่ยามข้างนอกด้วยตนเอง ให้นางได้พักผ่อน
หญิงสาวหลับตาลง เสียงฝนซัดซ่าไม่ขาดหู คงเพราะคืนฝนกระหน่ำที่คล้ายคลึงกันก่อกวนหัวใจไม่ขาดสาย นางถึงได้ข่มตาหลับไม่ลงเสียที
นางต้องนอนให้หลับ หากไม่หลับ วันพรุ่งนี้จะไม่มีแรงพอให้เดินทัพต่อ
เจียงหานหยวนผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ อยู่หลายครั้ง
ถัดออกไปไม่ไกลคือทหารกล้าสองพันนายที่พร้อมสู้ศึกเต็มที่ คนเหล่านี้มอบชีวิตให้นาง เชื่อมั่นในตัวนางอย่างไร้ขีดจำกัด
และในยามนี้คนทางเมืองเฟิงเยี่ยก็อาจกำลังอาบเลือดต้านศัตรู เฝ้ารอให้ทัพหนุนจากต้าเว่ยมาถึงโดยเร็ว
นางปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปจากสมองในเวลาอันสั้น หลับตานอนนิ่งต่อสักพัก ความง่วงงุนก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนผล็อยหลับไป