ราวเที่ยงคืน อยู่ๆ เสียงผิวปากทุ้มต่ำทว่าคมชัดก็ดังเข้าหู
นี่เป็นสัญญาณเตือนภัยจากคนที่เฝ้ายามข้างนอก แจ้งว่ามีสถานการณ์เร่งด่วน
เจียงหานหยวนรู้สึกตัวตื่นและลืมตาขึ้นมาในทันที หยางหู่ที่นอนตรงปลายเท้าก็ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วตวัดตัวลุกจากพื้นพลางตะโกนบอกคนอื่นๆ “มีเหตุด่วน! ตื่นเร็ว!”
ทหารที่ยืนเฝ้ายามนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอก “ท่านแม่ทัพ มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาจากข้างหลังพวกเราขอรับ ท่าทางจะเป็นพวกชาวตี๋ ข้างนอกฝนตก พวกมันไม่ได้จุดคบไฟ เราเลยรู้ตัวช้า ตอนนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงสองหลี่แล้วขอรับ! ดูท่าจะเป็นขบวนเกวียนส่งยุทธภัณฑ์ พวกมันคงตั้งใจมาค้างแรมที่นี่เช่นกัน!”
ตอนนี้ไพร่พลที่นอนบนพื้นโรงทหารรู้สึกตัวตื่นกันหมดแล้ว ต่างหยิบดาบขึ้นมาเตรียมพร้อม เจียงหานหยวนออกไปเกาะกำแพงที่พังลงมาครึ่งหนึ่งมองย้อนกลับไปทางทิศที่พวกตนเพิ่งจากมาเมื่อตอนกลางวัน
หลังม่านฝนกลางรัตติกาลอันมืดมิด กลุ่มคนที่มีลักษณะเหมือนขบวนเกวียนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้จริงๆ
“รีบไปตอนนี้เลยหรือไม่” ฝานจิ้งถาม
คะเนจากสายตา ทหารกลุ่มนั้นน่าจะมีร่วมสามร้อยนาย กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว
เจียงหานหยวนขึ้นไปยืนบนยอดกำแพงแล้วกวาดตามองรอบตัว
บริเวณนี้เป็นทุ่งโล่งกว้าง นอกจากป่าใกล้ๆ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักก็สามารถมองเห็นได้ทั่วอย่างไร้สิ่งกีดขวางสายตา ทหารสองพันนายจะขี่ม้าไปจากที่นี่โดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว โอกาสสำเร็จมีไม่มากเลย
“ไม่” นางกระโดดลงจากกำแพง
“ทุกคนจงรีบกลบร่องรอยของตนเอง แล้วถอยเข้าไปซ่อนตัวในป่า รอให้พวกมันหลับกันก่อนค่อยหาโอกาสไปต่อ”
ฝานจิ้งถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไพร่พลเร่งรุดออกจากโรงทหารภายในเวลาอันสั้น แล้วอาศัยสายฝนยามราตรีเป็นเครื่องอำพราง กระจายตัวเข้าป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งอย่างเงียบเชียบ เพียงครู่เดียวก็ไม่เหลือแม้แต่เงา
ระยะนี้พวกเป่ยตี๋กับทัพกบฏจากแปดดินแดนผนึกกำลังกันเป็นกองทัพพันธมิตรตีเมืองเฟิงเยี่ย การศึกที่ยืดเยื้อทำให้สิ้นเปลืองกว่าที่คาดไว้มากนัก คนเหล่านี้เป็นกองรถม้าขนส่งยุทธภัณฑ์ไปที่เมืองเฟิงเยี่ย โดยหลักเป็นเกาทัณฑ์และลูกธนู ทั้งคนทั้งม้าเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนติดกันมาหลายวันแล้วเพราะข้อจำกัดทางเวลา คืนนี้ยังมาเจอฝน จึงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที ด้วยรู้ว่าแถวนี้มีโรงทหารร้างอยู่ใกล้ๆ จึงอ้อมมาแวะพักชั่วคราว
เจียงหานหยวนซ่อนตัวอยู่ในป่า มีไพร่พลหมอบซุ่มอยู่ข้างหลัง ดวงตาเขม้นมองเบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างจดจ่อ
คนเหล่านั้นเคลื่อนตัวมาจนใกล้โรงทหารร้าง ผู้บังคับกองพันสั่งให้จอดขบวนเกวียนยาวเหยียดที่บรรจุยุทธภัณฑ์ไว้ด้านหน้า จากนั้นทหารหลายร้อยนายก็กรูเข้าไปในโรงทหารร้าง เพียงไม่นานแสงไฟก็ส่องสว่างออกมาจากข้างใน พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าสับสนเดินไปเดินมาลอยเข้าหูอย่างแจ่มชัด
นางเฝ้ารออย่างใจเย็น ฝนซาลงแล้ว ผ่านไปราวสองเค่อความเคลื่อนไหวในโรงทหารก็ค่อยเบาลงจนสุดท้ายเงียบไปโดยสิ้นเชิง คนข้างในคงหลับกันหมดแล้ว
มาถึงตอนนี้ฝนก็หยุดตกแล้วเช่นกัน
แม่ทัพหญิงรอต่ออีกสองเค่อ แล้วหันไปมองจางจวิ้นที่หมอบซุ่มอยู่ด้านหลัง
ฝ่ายนั้นเข้าใจ ค่อยๆ ออกไปอย่างเงียบเชียบ สักพักก็คลำฝ่าความมืดกลับมารายงานเบาๆ “แน่ใจได้ว่าข้างนอกมีทหารเฝ้ายามเพียงสองนายขอรับ ยืนอยู่หน้าโรงทหารซ้ายคนขวาคน พวกที่เหลืออยู่ข้างในกันหมด”
เจียงหานหยวนเรียกหยางหู่กับชุยจิ่ว “ไปจัดการพวกมัน”
ทั้งคู่พยักหน้า แล้วแยกกันอ้อมกำแพงที่พังลงมา คนหนึ่งไปทางทิศตะวันออก อีกคนไปทางทิศตะวันตก ย่องไปยังสองฝั่งของประตูใหญ่ที่พังหายไปนานแล้วอย่างเงียบเชียบ
หน้าประตูจุดคบไฟไว้ ทหารตี๋ร่างสูงใหญ่บึกบึนสองนายกอดดาบเดินกลับไปกลับมาจนสุดขอบสองฝั่งของหน้าชานดิน
เมื่อเข้ามาซ่อนตัวหลังซากกำแพงสองข้างเรียบร้อยแล้ว หยางหู่กับชุยจิ่วก็สบตากันไกลๆ ก่อนทำมือส่งสัญญาณให้เริ่มจัดการ ราวสามชั่วลมหายใจหลังจากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งตัวราวกับพยัคฆ์ร้ายเข้าจู่โจมทหารเฝ้ายามสองนายพร้อมกัน
หยางหู่ถือมีดสั้นรอท่าอยู่ในมือ อย่าว่าแต่ทหารตี๋จะขัดขืนเลย กระทั่งรู้สึกตัวยังแทบไม่ทันได้รู้สึก ลำคอก็ถูกมีดคมกริบที่โผล่มาจากข้างหลังปาดฉับเสียแล้ว เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด ผู้ถูกจู่โจมตื่นตระหนก ทำท่าจะอ้าปากร้องตะโกนตามสัญชาตญาณ ทว่าถูกมือแข็งแรงทรงพลังข้างหนึ่งอุดปากไว้จนส่งเสียงไม่ออกแม้แต่แอะเดียว
ทหารตี๋นายนี้ทรหดไม่ใช่เล่น ถูกปาดคอแล้วแท้ๆ ยังดิ้นสุดแรงเกิดพร้อมพยายามชักดาบ แต่จะชักออกมาอย่างไรเล่า ระหว่างดิ้นอุตลุดดาบก็ร่วงหล่น หยางหู่กระดกเท้าช้อนฝักดาบไว้ไม่ให้ตกพื้นแล้วเกิดเสียง จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างยึดศีรษะคนตรงหน้าที่ไม่ยอมตายเสียทีไว้แน่น จับบิดไปข้างหนึ่งโดยแรง
เสียงกระดูกหักกร๊อบฟังดูแน่นทึบเพราะดังออกมาจากในเนื้อ ลำคอทหารตี๋นายนั้นถูกบิดจนหัก สิ้นใจคาที่ ร่างอ่อนปวกเปียกทรุดลงไปกองกับพื้นโดยสิ้นเชิง
หลังจัดการเสร็จหยางหู่รีบลากทั้งคนทั้งดาบไปหลังซากกำแพงที่ตนซ่อนตัวเมื่อครู่ แล้วดันศพเข้าไปในมุมมืด จากนั้นก็หันไปมองสหาย เห็นว่าทางชุยจิ่วก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ทั้งคู่ทำมือส่งสัญญาณถอย ก่อนจะออกจากที่นั่นอย่างว่องไว