บทที่ 63
เหตุเหนือความคาดหมายพลันอุบัติขึ้น ไม่มีใครคาดคิดว่าอยู่ๆ คนอีกกลุ่มหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นทางด้านหน้าในจังหวะนั้นเอง
ทุกคนควบม้าศึกตัวสูงใหญ่ตะกุยดินโคลนสาดกระเซ็นมาเป็นทาง เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงหน้าโรงทหารร้างราวกับสายลม คนที่อยู่หน้าสุดมองขบวนเกวียนขนยุทธภัณฑ์ที่ถูกจอดทิ้งไว้ริมทาง แล้วหันไปแผดเสียงเอ็ดตะโรดังลั่นเป็นภาษาตี๋เข้าไปในโรงทหาร “ผู้บังคับกองพัน! ไสหัวออกมา!”
คนผู้นี้สวมเกราะครบชุด หมวกเกราะบนศีรษะวาดรูปสัตว์ร้ายดุดันน่ากลัว มีขนนกสีดำปักอยู่บนยอดหมวก อันเป็นชุดนายทหารระดับสูงในกองทัพตี๋
พอเสียงตวาดของเขาดังขึ้น ด้านในโรงทหารร้างก็เอะอะวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานผู้บังคับกองพันก็วิ่งหน้าตางัวเงียออกมาพลางตะลีตะลานสวมเสื้อผ้าไปด้วย ดูท่าเพิ่งจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเมื่อครู่ เมื่อวิ่งมาถึงเบื้องหน้าม้าของนายทหารดังกล่าว ยังไม่ทันได้ยืนเต็มสองเท้าก็ถูกแส้หวดขวับลงบนศีรษะ
“ไอ้สวะเอ๊ย! ยังส่งของไปไม่ถึงอีก! หนานอ๋องมีคำสั่งเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องพิชิตแปดดินแดนภายในหนึ่งเดือนให้ได้! เวลานี้พ่อลูกสกุลเซียวมันพากำลังคนหลบเข้าไปในเมืองเฟิงเยี่ย แนวหน้าต้องการยุทธภัณฑ์อย่างเร่งด่วน แต่พวกเจ้ากลับมัวมาอู้อยู่ตรงนี้!”
ระหว่างก่นด่า แส้ในมือไม่ยอมหยุดแม้แต่นิดเดียว เจ้าตัวน่าจะมีตำแหน่งสูงพอควร ผู้บังคับกองพันถูกโบยจนใบหน้าเป็นรอยแส้เลือดไหลอาบเป็นริ้วๆ ก็ยังทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะ ไม่กล้าอ้าปากเถียงสักคำ ได้แต่หันไปตะโกนบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวมพลออกเดินทางต่อ
หลังจากโบยไปยกหนึ่งนายทหารดังกล่าวก็กวาดตามองรอบตัวอีกครั้ง แล้วอดไม่อยู่ที่จะบันดาลโทสะจนต้องสะบัดปลายแส้ใหม่ ปากก็แผดตะเบ็งพลางชี้ไปยังเกวียนขนยุทธภัณฑ์ที่จอดอยู่บนทาง “ห่วงแต่นอน ทิ้งของหราอยู่ข้างนอก แม้แต่ทหารยามสักนายก็ไม่มี? สายลับชาวต้าเว่ยมันลอบเข้ามาสืบข่าวอยู่บ่อยๆ ไม่รู้บ้างหรือไร”
ผู้บังคับกองพันข่มความเจ็บเหลียวไปมองด้านหลัง ถึงได้รู้ว่าทหารยามของตนหายไปแล้ว ตะโกนเรียกชื่อทหารสองนายนั้นก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาสั่งให้คนไปตามหา ไม่นานพลทหารก็ลากศพออกมาจากหลังกำแพงที่พังทลายลงมา
เขาตกใจเสียไม่มีดี รีบนำคนไปตรวจตราโดยรอบ นายทหารที่มาเร่งการขนส่งยุทธภัณฑ์ก็เก็บแส้หนังแล้วลงจากหลังม้ามาตรวจตรารอยแผลบนร่างสองร่างที่ตายสนิทแล้วด้วยตนเอง จากนั้นก็ลุกขึ้นกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะหยุดสายตาที่แนวป่าในท้ายที่สุด
บริเวณนั้นมืดสนิท ลมทุ่งพลันพัดหวีดหวิวใส่ดงไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนมีทหารนับหมื่นซุ่มซ่อนอยู่ในนั้น
สัญชาตญาณทำให้นายทหารนึกกังวล เขาชะงักเท้า เรียกผู้บังคับกองพันมาสั่งให้นำกำลังคนไปตรวจดู จากนั้นก็คำรามสั่งผู้ติดตามที่สะพายที่เก็บลูกธนูยืนอยู่ข้างหลัง “ยิงเกาทัณฑ์เสียง*!”
ทหารนายนั้นไม่รอช้า คว้าคันธนู หยิบลูกธนูโหว่มาประทับ จับแหงนขึ้นฟ้าพร้อมออกแรงน้าวสาย
ลูกธนูโหว่นี้เป็นประเภทหนึ่งของเกาทัณฑ์เสียง ก้านธนูทำจากกระดูกสัตว์ ตรงกลางกลวง มีรูพรุนเล็กๆ ทั่วทั้งก้าน เมื่อยิงออกไปจะเกิดเสียงหวีดหวิวแหลมสูงผิดปกติ กองทหารตี๋มักใช้ในการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายเรียกกำลังเสริม ไม่เพียงเท่านั้นแต่ละกองพลยังมีผู้ที่ฝึกยิงธนูชนิดนี้จนเชี่ยวชาญประจำการอยู่โดยเฉพาะ เพื่อที่เวลายิงจะได้เกิดเสียงดังกังวานมากที่สุด
ยามดึกสงัดเช่นนี้ หากเกาทัณฑ์เสียงถูกยิงด้วยมือคนที่ได้รับการฝึกฝนพิเศษจะสามารถส่งเสียงสัญญาณได้ไกลถึงสิบหลี่เลยทีเดียว
เหตุเหนือความคาดหมายนี้มากะทันหันเกินไป
หยางหู่อยู่ใกล้พวกทหารตี๋มากกว่าคนอื่น กลับเข้าไปในป่าไม่ทันแล้ว ทั้งยังกลัวว่าหากกลับไปจะกลายเป็นตัวดึงความสนใจของทหารตี๋ไปที่ป่า เขาจึงระงับการล่าถอยของตนไว้ทันที แล้วหมอบลงกับพื้นเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทหารตี๋จะฉลาดถึงเพียงนี้
ไม่รู้ว่าบริเวณโดยรอบยังมีพวกมันอยู่มากน้อยเพียงใด หากถูกเรียกมาจริง ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เขาอยู่ห่างจากฝ่ายตรงข้ามสิบกว่าก้าว ไม่อาจเข้าไปหยุดยั้งในทันที ซ้ำยังไม่มีธนูติดตัวมาด้วย พอเห็นทหารตี๋กำลังจะยิงธนูส่งสัญญาณอยู่รอมร่อ หยางหู่ก็ดีดตัวพุ่งไปข้างหน้าพร้อมปามีดสั้นออกไป
มีดสั้นปักลงกลางอกพลยิงธนูดังฉึก ร่างเจ้าตัวกระตุกทีหนึ่งก่อนจะล้มลง คันธนูและลูกธนูก็ร่วงตกพื้นเช่นกัน
นายทหารชาวตี๋เงยหน้าขึ้น เห็นชายแปลกหน้าที่สวมชุดไม่ต่างจากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองกระโจนเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ทั้งที่ปามีดสั้นออกมาแล้วแท้ๆ ปลายเท้ากลับไม่ยอมหยุดแม้เพียงน้อย ยังคงวิ่งเข้าใส่ร่างทหารที่ถูกมีดปักอกและสะพายที่เก็บลูกธนูเกาทัณฑ์เสียงไว้ข้างหลัง
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความตระหนก พร้อมตะโกนสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ใกล้ๆ ยิงธนูสกัดฝ่ายตรงข้ามไว้
แต่แม้อันตรายจะอยู่ตรงหน้า นายทหารชาวตี๋ก็ไม่ลนลานแต่อย่างใด เขาก้มลงเก็บคันธนูกับลูกธนูโหว่ที่ตกอยู่บนพื้นข้างตัวขึ้นมา หมายจะยิงออกไปเอง
หยางหู่ไม่มีอาวุธใดๆ ให้ใช้ได้อีกแล้ว ภาพนั้นทำให้เขาร้อนรนปานอวัยวะภายในจะฉีกขาด
ทหารตี๋สองนายวิ่งเข้ามายิงธนูใส่เขา ลูกธนูแหลมคมพุ่งฟิ้วแหวกอากาศ ดอกหนึ่งปักลึกเข้ามาตรงหัวไหล่ หยางหู่นัยน์ตาแดงฉาน หักก้านธนูที่ปักคาอยู่บนร่างทิ้ง ปลายเท้าไม่เพียงไม่หยุดนิ่ง ยังวิ่งเร็วขึ้นกว่าเก่า ทำตัวราวกับเสือร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่ง กระโจนเข้าใส่นายทหารชาวตี๋ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ต่อให้ต้องมอดม้วยไปด้วยกัน เขาก็จะทำลายเกาทัณฑ์เสียงนี้ให้จงได้