ผู้ได้รับมอบหมายให้คุมทหารหนึ่งพันนายตรึงกำลังรักษาการณ์ด่านชายแดนอันหลงแห่งนี้คืออดีตนายทหารแคว้นจิ้นที่สวามิภักดิ์ต่อเป่ยตี๋ นามหวงซิว เวลานี้ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่าขุนพลชางไห่นำกองกำลังไปสมทบทางเมืองเฟิงเยี่ย ตรวจเทียบป้ายผ่านทางแล้วว่าถูกต้อง ตอนนี้กำลังรออยู่หน้าป้อมปราการ
ขุนพลชางไห่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชามากความสามารถของแม่ทัพชินหลง แม่ทัพชินหลงผู้นี้ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากหนานอ๋องชื่อซูให้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการคุมทัพตีแปดดินแดน ตัวเขาเป็นเพียงแม่ทัพชาวฮั่นที่แปรพักตร์ ปกติถูกดูแคลนในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้อีกฝ่ายรอ ได้ยินดังนั้นก็รีบจัดชุดให้เรียบร้อยแล้ววิ่งออกจากป้อมปราการไปต้อนรับด้วยตนเอง แลเห็นทหารกองหนึ่งหยุดรอห่างออกไปหลายจั้งได้แต่ไกล
คนที่อยู่ตรงกลางมีกะบังหน้าครอบหน้าผาก บดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง ใต้กะบังคือดวงตาและใบหน้าครึ่งล่าง สวมหมวกเกราะปักขนนกสีดำ วาดเป็นรูปสัตว์ร้ายดุดันน่ากลัว ใส่เสื้อเกราะสีดำทั้งชุด จับบังเหียนด้วยมือข้างเดียวนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้าศึก
เป็นชุดของขุนพลชางไห่จริงๆ
ผู้ติดตามทั้งซ้ายขวาและข้างหลังของเจ้าตัวเป็นกองทหารม้า แต่ละคนท่าทางเข้มขรึม สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
นี่คือกองทหารกล้าที่ควบม้าบุกตะลุยมานับพันหลี่ ตีฝ่าศัตรูอันแข็งแกร่งมาตลอดทาง เวลานี้แม้อยู่เฉยๆ ไม่ส่งเสียง แต่กลับแผ่บรรยากาศกดดันอย่างรุนแรง
หวงซิววิ่งรี่เข้าไปหา ก่อนจะผ่อนฝีเท้าวิ่งต่อไปอีกหลายก้าวจึงค่อยหยุดชะงัก เขม้นตามองใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่งล่างของผู้มาเยือน เมื่อเบนสายตาไปมองทวนยาวในมือขวาของอีกฝ่ายก็พลันอุทานออกมา “เจ้าไม่ใช่ขุนพลชางไห่!”
เขาเข้าสวามิภักดิ์กับพวกชาวตี๋มานานปี ปกติจะใช้ภาษาตี๋จนชิน แต่ด้วยอารามตื่นตระหนกจึงเผลอหลุดปากอุทานด้วยภาษาเดิมโดยไม่รู้ตัว
เจียงหานหยวนยกกะบังหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่ใช่”
หวงซิวมองดวงหน้าอิสตรีของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงจังงังแล้วพลันได้สติ แผดเสียงตะโกนลั่น “รีบปิดประตูเมือง! พวกต้าเว่ยบุก…” ระหว่างตะโกนก็ทำท่าจะหมุนตัววิ่งกลับเข้าเมืองไปด้วย
แขนขวาที่ถือทวนยาวของเจียงหานหยวนยกขึ้นแล้วสะบัดใส่คนข้างหน้า ทวนยาวพุ่งออกจากมือนางแหวกอากาศทะยานฉิวไปราวกับดาวตก ก่อนจะเสียบเข้ากลางอกอดีตนายทหารแคว้นจิ้นผู้นั้น ปลายทวนชุ่มเลือดทะลุออกจากแผ่นหลัง กระชากร่างของเจ้าตัวให้ถอยแซ่ดๆ ไปเจ็ดแปดก้าว สุดท้ายก็ปักตรึงไว้กับบานประตูข้างหลังที่เร่งร้อนปิดลงได้เพียงครึ่งเดียว
หลังซัดทวนออกจากมือเจียงหานหยวนก็ควบม้าตามไปติดๆ พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าประตูเมือง นางก้มตัวลงเอื้อมมือไปจับด้ามทวนดึงออกจากอกหวงซิวมากวัดแกว่งปัดพลทหารที่กำลังปิดประตูด่านออกไป ก่อนจะดันหัวทวนไปด้านหน้า กระทุ้งประตูให้เปิดออก จากนั้นก็ขี่ม้าผ่านป้อมปราการเข้าไปเป็นคนแรก
หวงซิวล้มลงบนพื้น เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกจากรูโหว่กลางอกและมีฟองฟอดไหลตรงมุมปาก ระหว่างกำลังทุรนทุรายก็ถูกเกือกเหล็กนับไม่ถ้วนของทหารที่ควบม้าตามนางเข้าเมืองเหยียบย่ำจนกลายเป็นกองเนื้อแหลกเละ
ชุยจิ่วนำพลธนูกรูขึ้นบันไดไปบนป้อมกำแพงเมือง ควบคุมพื้นที่สูงไว้อย่างว่องไว แล้วจัดกระบวนพล ระดมยิงธนูใส่ทหารตี๋ที่แห่แหนออกมาจากข้างในด่านเมื่อรู้ข่าว
บนป้อมกำแพงเมือง ลูกธนูพุ่งลงมาเป็นสายต่อเนื่องราวกับห่าฝน ศัตรูออกมาระลอกหนึ่งก็กระหน่ำยิงระลอกหนึ่ง ทหารตี๋ที่โดนยิงนอนโอดครวญระเนระนาดเกลื่อนพื้น ส่วนบริเวณประตูด่านเจียงหานหยวนนำผู้ใต้บังคับบัญชาสังหารข้าศึกอย่างดุดัน เพียงไม่นานทหารตี๋ในป้อมปราการก็ถูกฆ่าตายเรียบ ไพร่พลสองพันนายกรูเข้าด่านชายแดนอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง
แนวชายแดนอันหลงมีกำแพงหมื่นหลี่ที่สร้างทับเทือกเขาสยงหลิ่ง จริงอยู่ว่าบัดนี้ถูกปล่อยร้าง แต่ยังมีประโยชน์สำหรับนาง ตามแผนการเดิมเมื่อมาถึงที่นี่พวกนางจะฉวยโอกาสตอนกลางคืนปีนขึ้นเทือกเขาข้ามกำแพงมาโจมตีแนวชายแดนอันหลง
แต่เพราะเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นกลางทาง การโจมตีจึงสะดวกขึ้นมาก
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันแนวชายแดนอันหลงก็ถูกตีแตก ทหารตี๋ถูกฆ่าตายหลายร้อยนาย พวกที่เหลือหนีกันกระเจิดกระเจิง
มาถึงนี่แล้ว ต่อให้ทางจวนหนานอ๋องรู้ข่าวว่านางบุกก็ไม่มีทางที่จะขัดขวางได้ทัน
เจียงหานหยวนไม่ได้ตามไปฆ่าทหารตี๋ที่หนีไป หลังรวมพลพักผ่อนเล็กน้อยก็นำกองทหารม้าลาดตระเวนของตนเร่งเดินทางต่อ มุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงเยี่ยซึ่งบัดนี้อยู่ใกล้แค่คืบ
ซู่เซิ่นฮุยพักที่เฉียนถังอีกระยะหนึ่ง รวมกันสองรอบ เขาอยู่ในเมืองนี้ทั้งสิ้นสิบวัน
ในที่สุดสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำในการเยี่ยมเยียนมณฑลทางใต้ก็หมดสิ้นลงในวันนี้
เขาออกจากฉางอันในเดือนสี่ พริบตาเดียวก็เข้าเดือนแปดแล้ว
ตามกำหนดการที่วางไว้ วันรุ่งขึ้นเขาต้องกลับเมืองหลวง
ก่อนเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ชายหนุ่มแต่งกายเยี่ยงสามัญชน มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน แล้วไปคารวะลามารดาตนเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ส.ค. 67