ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ หุบปาก สัมผัสได้ว่าความเจ็บแล่นปราดมาจากกลางฝ่ามืออีกครั้ง เจ็บสะท้านอย่างรุนแรงจนแทบทนรับไม่ไหว
จวงไท่เฟยเห็นบุตรชายไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่คุกเข่าเงียบด้วยท่าทางดึงดัน ตอนแรกยังนึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่พอมองอีกทีแล้วเห็นเขาหน้าซีดเผือดเหมือนไม่สบายก็นึกขึ้นได้ว่าเขาคุกเข่าตากแดดเปรี้ยงๆ อยู่ข้างนอกมาครึ่งวัน อย่าบอกนะว่าจะเป็นลมแดด? นางทั้งอ่อนใจทั้งสงสาร เรียกให้ลุกขึ้นมา เขาก็ไม่หือไม่อือ คราวนี้จวงไท่เฟยชักร้อนรน ไม่มีอารมณ์จะโมโหต่อ รีบลุกไปเรียกหญิงสกุลจวงให้มาดึงบุตรชายขึ้นจากพื้น สั่งให้เขานั่งลง ป้อนน้ำให้ดื่ม จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำอุ่นเองกับมือแล้วนั่งลงข้างๆ เพื่อเช็ดหน้าให้
ซู่เซิ่นฮุยเบือนหน้าหนีมือที่เอื้อมมาหาตัวของมารดา ก่อนจะรับผ้ามาเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าเอง แล้วบอกเบาๆ “ลูกไม่เป็นไร เสด็จแม่ไม่ต้องทรงห่วง”
ผู้เป็นมารดาชักมือกลับมา จ้องมองเขาสักพักก็ถาม “ซื่อซื่อกลับถึงเยี่ยนเหมินโดยปลอดภัยแล้วสินะ ระยะนี้มีข่าวคราวจากนางบ้างหรือไม่”
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย “ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เสียงตอบเงียบหายไปเพียงเท่านั้น ขณะที่สายตาเบนออกไปมองตะวันตกดินนอกหน้าต่าง
จวงไท่เฟยทอดถอนใจเบาๆ
“ข้าจะไม่ถามว่าอยู่ดีๆ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ทะเลาะกันอีก ต่อให้ถาม เจ้าก็ไม่เล่าให้ฟังหรอก”
นางมองบุตรชายที่เอาแต่เงียบ
“อย่าหาว่าข้าลำเอียงเลยนะ เรื่องอื่นข้าไม่รู้ จึงพูดไม่ได้ แต่ได้ยินมาว่าคืนนั้นเจ้าทิ้งนางไว้ในตำหนักแปรพระราชฐานแล้วจากไปคนเดียวโดยไม่รอให้ฝนหยุดด้วยซ้ำ เจ้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ถือว่าผิดมหันต์ ไม่ว่าคืนนั้นพวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันด้วยเรื่องใด แต่ตอนสู่ขอนางมาเป็นชายาเจ้าไม่เคยถามไถ่ว่านางยินดีหรือไม่ ต่อให้ในใจนางมีคำว่า ‘ไม่ยินดี’ สักหนึ่งหมื่นคำก็ต้องออกเรือนมาฉางอันอย่างไม่มีทางเลือก ตัวเจ้าสมประสงค์แล้ว ตอนนี้ต่อให้ไม่พอใจนางสักเพียงใด ยามโกรธเคืองนาง ข้าหวังว่าเจ้าจะตรองดูให้มากว่าเหตุใดนางถึงมาเป็นชายาเจ้า! อะไรควรพูด คราวก่อนตอนอยู่ในตำหนักแปรพระราชฐานข้าก็ได้พูดไปแล้ว ข้ายังยืนยันคำเดิม ซื่อซื่อเป็นหญิงที่ดี หากเจ้าดีต่อนาง นางไม่มีวันทรยศเจ้าแน่”
ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ ดึงสายตาจากนอกหน้าต่างมามองมารดา ก่อนค้อมศีรษะตอบยิ้มๆ “ครานี้ลูกจดจำขึ้นใจแล้ว นี่เป็นความผิดของลูกจริงๆ ลูกจะขออภัยซื่อซื่อ เสด็จแม่โปรดวางพระทัยเถิด!”
จวงไท่เฟยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
เขาถูกผู้เป็นมารดารั้งตัวให้อยู่กินอาหารด้วยกัน ก่อนจะคำนับลานางอย่างอาวรณ์ภายใต้แสงโคมสำหรับถือส่องทาง จวงไท่เฟยออกมาส่งที่หน้าตำหนัก ยืนมองร่างที่จากไปของบุตรชายจากบนบันได
ท่านอ๋องลับตัวไปแล้ว จวงไท่เฟยก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นนาน ถึงค่อยหมุนตัวเดินกลับเข้าข้างในด้วยความอาลัย
หญิงสกุลจวงที่ติดตามรับใช้เงียบๆ พลันได้ยินเจ้านายพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าพอเข้าใจว่าตอนนั้นซื่อซื่อเข้าฉางอันมาด้วยความรู้สึกเช่นไร เพราะเหตุนี้ถึงได้สงสารนาง แต่ข้าก็ยังเห็นแก่ตัวจริงๆ เพื่อบุตรชายตัวเองแล้ว ข้าหวังว่าซื่อซื่อจะ…”
นางเงียบไป ได้แต่ทอดสายตามองไปทางขอบฟ้าเบื้องพายัพที่เวลานี้ถูกแสงตะวันรอนอาบย้อมจนสุกปลั่ง ภายใต้แสงสุดท้ายของวันคือเมืองหลวงที่ไกลลิบจนมองไม่เห็น
“…ไม่ว่าวันข้างหน้าเป็นเช่นไร หากซื่อซื่อสามารถครองคู่กับเขาโดยไม่ทอดทิ้งกันได้ ข้าก็จะเบาใจอย่างแท้จริง…”
หญิงสกุลจวงพยุงเจ้านายพลางตอบอย่างอ่อนโยน “ท่านอ๋องกับแม่ทัพหญิงเป็นคู่สร้างคู่สม ซ้ำยังเป็นคนมีปัญญากันทั้งคู่ แม้เกิดเหตุกระทบกระทั่ง แต่ไม่นานก็จะคิดได้เองเพคะ ไท่เฟยทำพระทัยให้สบายเถิด คราวหน้าเมื่อท่านอ๋องทรงพาแม่ทัพหญิงมาเยี่ยม รับรองว่าบรรยากาศจะไม่เหมือนเดิมแน่นอนเพคะ”
จวงไท่เฟยเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกของเจ้า ข้าจะรอแล้วกัน”