เมื่อซู่เซิ่นฮุยออกจากตำหนัก หลิวเซี่ยงก็ตามเจ้าตัวลงเขา รอยยิ้มบนใบหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการเลือนหาย ตรงหว่างคิ้วเหมือนมีเงาทะมึนทาบทับ เขาเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่นำผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามอารักขามาตลอดทาง ทุกคนขี่ม้ากลับเมือง กว่าจะมาถึงเชิงเขาใต้ตำหนักแปรพระราชฐานก็ดึกมากแล้ว
“ออกเดินทางเช้าวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าร้อนนิดหน่อย จะยืนรับลมอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวค่อยตามขึ้นไป ไม่ต้องเป็นห่วง”
อยู่ๆ ซู่เซิ่นฮุยก็พูดอย่างนั้นแล้วลงจากหลังม้า โยนบังเหียนให้ผู้ติดตาม ก่อนจะเดินไปทางริมทะเลสาบคนเดียว
หลิวเซี่ยงเห็นเจ้าตัวยืนอยู่ริมตลิ่ง ก้มหน้านิดๆ จ้องมองผิวทะเลสาบ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ น้ำในทะเลสาบเวลานี้เป็นสีดำเมื่อมดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ไหนเลยเขาจะกล้าทำตามคำสั่ง ได้แต่บอกให้คนอื่นๆ แยกย้าย ส่วนตนเองยังติดตามอารักขา โดยยืนห่างออกมาสิบกว่าก้าว ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไปนัก
อ๋องผู้สำเร็จราชการเงยหน้ามองท้องฟ้าทางทิศเหนือ แผ่นหลังนิ่งงันราวกับรูปสลัก
ระหว่างที่รอหลิวเซี่ยงนึกถึงภาพอ๋องผู้สำเร็จราชการคุกเข่าอยู่ครึ่งวันเพราะจวงไท่เฟยที่ไม่ยอมให้เข้าไปข้างใน ก่อนจะนึกไปถึงสีหน้าเคร่งเครียดแข็งตึงของเจ้าตัวในคืนนั้น ตอนกุมมือที่ถูกกระบี่บาดจนเลือดไหลชุ่มเดินออกมา
แม้จนบัดนี้เขาก็ยังคิดไม่กระจ่างใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เห็นชัดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการกับชายามีเหตุกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีต้นตอมาจากคืนที่เขาไปรายงานอ๋องผู้สำเร็จราชการเรื่องภิกษุอู๋เซิงนั่น
หลิวเซี่ยงระงับความรู้สึกผิดในใจ เหลือบมองท้องฟ้า แล้วเดินเข้าไปบอกว่า “ท่านอ๋อง ดึกมากแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสด็จไปพักผ่อนเถิด”
อีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับ ระหว่างที่เขากำลังจนใจอยู่นั้นก็พลันได้ยินเจ้าตัวถามขึ้นว่า “แต่ก่อนเจ้าเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงจู่วั่ง เห็นว่าพระชายาเติบโตขึ้นในกองทัพตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเจ้าเคยเห็นนางหรือไม่”
ชายหนุ่มไม่ได้หันมา
หลิวเซี่ยงผงะไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็ได้สติ ก้าวเข้าไปตอบว่า “ทูลท่านอ๋อง เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ พระชายายังทรงพระเยาว์นัก จำได้ว่าทรงเข้ามาอยู่ในค่ายตั้งแต่พระชันษาได้เพียงหกเจ็ดขวบ”
พูดจบก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันมามองเขา “อายุน้อยถึงเพียงนั้นเลย?”
หลิวเซี่ยงค้อมศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ายตรงข้ามเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะถามต่อ “สมัยเด็กๆ นางเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาตอบ “สมัยเด็กๆ พระชายาทรงไม่ชอบพูด ตอนมาอยู่ในค่ายใหม่ๆ ทรงดูราวกับตุ๊กตาหิมะอย่างไรอย่างนั้น แม้จะพระชันษาน้อยๆ แต่ก็ทรงขอมาร่วมฝึกกับพลทหารราบด้วยพระองค์เอง ตอนแรกไม่มีใครมองว่าจริงจัง นึกว่าทรงนึกสนุกแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ปรากฏว่าพระชายาตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จะเสด็จกลับกระโจมก็ต่อเมื่อฟ้ามืด เป็นเช่นนี้ทุกวัน ฝนจะตกแดดจะออกก็ไม่เว้น กระหม่อมไม่เคยเห็นผู้ใดมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเช่นนี้มาก่อนเลย ยิ่งเป็นเด็กหญิงด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ขอทูลตามตรงโดยไม่ปิดบัง เวลานั้นพระชายาทรงอยู่ในกองทหารราบที่กระหม่อมคุมอยู่ บ่อยครั้งที่ทรงเป็นแผลฟกช้ำตามแขนขาจากการฝึกต่อสู้ บางครั้งกระหม่อมเห็นแล้วยังสงสาร แต่พระชายากลับไม่ใส่พระทัย ภายหลังกระหม่อมเข้ามาเป็นขุนนางในฉางอัน ไม่ได้ติดต่อกับทางเยี่ยนเหมินอีก มาได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระชายาอีกครั้งก็ตอนที่ทรงยกทัพไปตีที่ราบชิงมู่กลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังประโยคนั้นเขาเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการค่อยๆ หันกลับไปหลุบตามองผืนน้ำตรงปลายเท้าดังเดิม สักอึดใจใหญ่ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ที่แท้เจ้ากับนางก็รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน…”
เสียงพูดหยุดลงเท่านั้น
หลิวเซี่ยงมองแผ่นหลังหม่นขรึมของอีกฝ่ายอย่างละล้าละลังอยู่นาน สุดท้ายก็บอกว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมใคร่ขอบังอาจเอ่ยวาจาละลาบละล้วงสักหน่อย ไม่ทราบว่าสมควรพูดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา” สายตาชายหนุ่มยังคงตรึงอยู่บนผิวทะเลสาบ
“คืนนั้นหลังจากท่านอ๋องเสด็จไปแล้ว กระหม่อมอยู่ส่งเสด็จพระชายา พระชายาทรงเป็นคนใจกว้าง หากท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะตรัสแต่ติดที่อยู่ไกลกัน ทรงเขียนจดหมายหาพระชายาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าเป็นเรื่องใด พระชายาน่าจะไม่ทรงติดใจขุ่นเคือง ถึงอย่างไรที่พระชายาทรงแต่งเข้าจวนก็น่าจะเพราะทรงชื่นชมท่านอ๋อง”
ซู่เซิ่นฮุยหันมามอง “หมายความว่าอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่านางชื่นชมข้า”
ด้วยความละอายแก่ใจ หลิวเซี่ยงหวังจะให้ชายหนุ่มหญิงสาวคืนดีกัน ตนเองจะได้ไม่กลายเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉาน เมื่อครู่จึงเผลอโพล่งประโยคนั้นออกไปอย่างห้ามไม่อยู่ พอถูกถามถึงได้เพิ่งตระหนักว่าพลั้งปาก หัวใจเต้นผิดจังหวะทีหนึ่ง เขารีบถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว แล้วค้อมศีรษะตอบไปว่า “กระหม่อมคาดเดาส่งเดชน่ะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงหล่อเหลาสง่างาม พระชายาจะไม่มอบพระทัยให้ได้อย่างไร”
ซู่เซิ่นฮุยค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เอามือไพล่หลัง จ้องฝ่ายตรงข้ามชั่วอึดใจ ก่อนจะบอกว่า “เจ้ารู้บางเรื่องเกี่ยวกับนาง กล้าปิดบังข้าอย่างนั้นหรือ!”