หลิวเซี่ยงนึกว่าอีกฝ่ายทั้งผิดหวังทั้งเดือดดาลตนถึงขีดสุด ถึงได้มีอาการตอบสนองเช่นนี้ ในใจพลันหนาวเยือก พร้อมกันนั้นยังรู้สึกละอายแก่ใจจนต้องโขกศีรษะอีกครั้งแล้วถอดหมวกขุนนางลงมาวางกับพื้นเองโดยไม่ต้องให้เจ้านายเอ่ยปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้า “กระหม่อมผิดต่อความไว้วางพระทัย ขอท่านอ๋องโปรดอย่าได้กริ้ว! กระหม่อมจะขอรับโทษทัณฑ์เอง…”
“หลิวเซี่ยง!”
เสียงกัดฟันคำรามพลันดังเข้าหู แทรกคำพูดของเขากลางคัน
เจ้าของชื่อสะท้านเฮือก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการลืมตาขึ้นมาแล้ว กำลังมองเขาผ่านเพลิงโทสะที่ลุกโชติช่วงในดวงตา
“วัดฮู่กั๋วฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย?!” ชายหนุ่มเปล่งเสียงออกมาอย่างเคียดแค้น “วิเศษ! หลิวเซี่ยง เจ้าวิเศษมาก!” ดูเหมือนเจ้าตัวจะโมโหเสียจนเสียงสั่น “พระชายามาเมืองหลวงตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย! เจ้าปิดบังข้ามานานถึงเพียงนี้?”
หลิวเซี่ยงชะงัก
เดิมทีเขานึกว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะตำหนิตนเองที่แอบปล่อยคนเข้าวัด แต่เท่าที่ดูตอนนี้ เหตุใดถึงฟังเหมือนอีกฝ่ายโกรธจัดที่เขาไม่รีบบอกให้รู้เรื่องแต่แรกมากกว่า
เขาตอบกลับไปหวาดๆ “ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องโปรดอย่าได้กริ้ว…ที่กระหม่อมไม่กล้าทูลให้ทรงทราบเป็นเพราะประการแรกกระหม่อมเองก็ทราบว่าไม่ควรทำ จึงกลัวจะมีโทษ ประการที่สองพระชายาทรงแอบดูท่านอ๋องก่อนเข้าพิธี เชื่อว่าจะต้องไม่ประสงค์ให้ใครล่วงรู้…”
คราวนี้สีหน้าของอ๋องผู้สำเร็จราชการถมึงทึงจนดำคล้ำ
หลิวเซี่ยงพูดต่อไม่ออก ได้แต่หมอบกรานลงกับพื้นอีกครั้ง รู้สึกเสียวสันหลังวาบเป็นระลอก สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร็วรัวดังห่างออกไปเรื่อยๆ ทุกที เมื่อลุกขึ้นแล้วหันไปมองก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการเดินไปทางตำหนักแปรพระราชฐานแล้ว กำลังก้าวพรวดๆ ผ่านองครักษ์เวรกลางคืนจำนวนหนึ่งขึ้นไปตามบันได ก่อนจะลับตัวไปในความมืดมิดของรัตติกาล
หากจะบอกว่าตั้งแต่เกิดมายี่สิบสามสิบปีซู่เซิ่นฮุยไม่เคยเดือดดาล อับอาย และกระอักกระอ่วนเท่าคืนนี้มาก่อนเลยในชีวิตก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในวัดฮู่กั๋วฤดูใบไม้ร่วงปีกลายวันนั้นนอกจากจะเกิดเหตุสังหารเกาอ๋อง เขาบอกลาเวินวัน และพูดเรื่องเหล่านั้นกับฮ่องเต้น้อยแล้ว ยังมีคนอีกคนซ่อนตัวอยู่ในวัดด้วย
ในเมื่อนางมาเมืองหลวงเพราะเขา วันนั้นย่อมต้องอยู่ใกล้ๆ เขาตลอด เพียงแต่เร้นกายได้ยอดเยี่ยมจนเขาไม่ทันรู้ตัว
ถูกนางเห็นตอนกำจัดเกาอ๋องน่ะช่างเถิด ปัญหาคือต่อมาเขายังพบเวินวันแล้วเอ่ยลาฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด
เชื่อว่าตอนนั้นนางก็ต้องซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ยินถ้อยคำที่เขาพูด ข้อนี้ซู่เซิ่นฮุยมั่นใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว
ตอนที่หลิวเซี่ยงคุกเข่าขอรับโทษด้วยสีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาหลับตาลง หวนนึกถึงถ้อยคำทุกประโยคที่วันนั้นได้พูดกับบุตรสาวอาจารย์ที่ตนรู้สึกติดค้าง เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าสตรีผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนเยี่ยงเวินวันจะต้องเข้าใจความหมายแท้จริงของถ้อยคำที่เขาสื่อออกมาอย่างละมุนละม่อมเพื่อไม่ให้กระทบใจนางมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อดีตไม่อาจหวนคืน เขาไม่ใช่อันเล่ออ๋องหนุ่มน้อยผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว นางจะได้ตัดใจอย่างแท้จริงเสียที เวินวันเป็นบุตรสาวของอาจารย์ที่เคยมีบุญคุณสอนสั่ง เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทั้งรูปโฉม สติปัญญา และความอ่อนหวานที่เขาเคยชื่นชมในวัยหนุ่ม นางคู่ควรที่จะได้รับการตัดรอนอย่างอ่อนโยนจากเขา
แต่สำหรับคนนอก น่ากลัวว่าสถานการณ์และบทสนทนาในตอนนั้นคงดูเหมือนเขาจำใจแยกจากหญิงที่รักเพื่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์…
ซู่เซิ่นฮุยไม่เหลือแรงจะสนใจหลิวเซี่ยงแล้วจริงๆ เขาพยายามข่มใจไม่เงื้อเท้าถีบฝ่ายตรงข้ามตกทะเลสาบแล้วหมุนตัวเดินจ้ำออกมา ระหว่างขึ้นบันไดบนเขา มือทั้งสองข้างของเขากำแน่น เหงื่อผุดซึมออกมาจากแผ่นหลัง ประเดี๋ยวก็เย็นเฉียบ ประเดี๋ยวก็ร้อนรุ่ม หัวใจเต้นถี่รัว ลมหายใจสั้นกระชั้น ราวกับเป็นไข้ป่าก็ไม่ปาน
จวบจนชั่วขณะจิตในราตรีนี้เองที่เขาเพิ่งได้คิดว่าเหตุใดหลังแต่งงานกันนางถึงได้มีท่าทีกระตือรือร้นอยากเป็นแม่สื่อให้เขากับเวินวันได้ครองคู่กันถึงเพียงนั้น เหตุใดพอแต่งเข้าฉางอันนางถึงไม่คิดจะใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยากับเขานาน กระทั่งดาบที่เป็นสินสอดก็ยังไม่อยากเอาไปด้วย
เขาจะต้องอธิบายกับนางให้กระจ่าง!
ต้องเขียนจดหมายหานางเดี๋ยวนี้ แล้วส่งไปด้วยความเร็วสูงสุดของม้าเร็วแปดร้อยหลี่ แม้ต้องสิ้นเปลืองและใช้กำลังคนมากเพียงใดก็ช่าง ขอเพียงได้บอกให้นางเข้าใจว่าของบางอย่างบนโลกนี้ต่อให้เห็นกับตาได้ยินกับหู บางครั้งก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไป เขาจะปล่อยให้นางเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้
“ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้ว วันนี้มีฎีกาส่งมาพอสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ! นอกจากนั้นยังมีจดหมายจากฝ่าบาทฉบับหนึ่ง กระหม่อมนำไปวางบนโต๊ะทรงงานให้แล้ว…”
ตามกำหนดการเดิมอ๋องผู้สำเร็จราชการต้องกลับถึงที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็น ปรากฏว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ จางเป่าออกมายืนชะเง้อคอมองหน้าตำหนักแปรพระราชฐาน ทันใดนั้นก็เห็นเจ้านายเดินขึ้นมา เขารีบถลาไปต้อนรับพลางบอกอย่างนั้น ทว่าสองตาของเจ้านายเอาแต่มองตรงไปข้างหน้าขณะเดินลิ่วๆ ผ่านร่างเขาขึ้นบันไดหน้าตำหนักเข้าไปข้างในอย่างเร่งร้อน
ซู่เซิ่นฮุยตรงดิ่งมาที่ห้องหนังสือ ปัดจดหมายบนโต๊ะให้พ้นทางแล้วจุ่มปลายพู่กันแต้มน้ำหมึก ยกพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนจดหมายทันที แต่เพิ่งจะเขียนไปได้ไม่กี่คำว่า
‘ภรรยาของข้า ขอให้จดหมายฉบับนี้เป็นตัวแทนข้า…’