ญาติผู้พี่คนนี้อายุมากกว่าเขาหลายปี ธรรมดาสามัญทั้งรูปโฉมและความสามารถ มิหนำซ้ำคราวก่อนที่นางเข้าวังหลวงเขาเคยเจอโดยบังเอิญ เห็นนางตามไทเฮาต้อยๆ ไม่ว่าไทเฮาว่าอย่างไรก็พยักพเยิดเออออตามทุกอย่าง
เกณฑ์การคัดเลือกฮองเฮาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนตัวของเขา ข้อนี้ซู่เจี่ยนรู้ดีแต่แรกแล้ว แต่หากแต่งตั้งญาติผู้พี่คนนี้เป็นฮองเฮา เขาคิดภาพตนเองกับนางแต่งงานเป็นสามีภรรยากันไม่ออกเลย เด็กหนุ่มคัดค้านสุดตัว ทว่าเรื่องเช่นนี้เขาไม่รู้จะไปพูดกับใคร พอเห็นว่าระยะนี้ไทเฮาไปตำหนักตุนอี้ทุกวันก็ร้อนรนอยู่ในใจ หวังให้เสด็จอาสามกลับเมืองหลวงโดยเร็ว ตนเองจะได้พอมีกำลังใจให้ยึดเหนี่ยว เขาลอบส่งจดหมายให้เสด็จอาสามที่บัดนี้ยังอยู่ระหว่างเสด็จประพาสแดนใต้ฉบับหนึ่ง บอกว่าดูเหมือนไทเฮาคิดจะแต่งตั้งบุตรสาวสกุลหลันเป็นฮองเฮา ขอให้เสด็จอาสามช่วยออกหน้าทัดทานเจตนารมณ์ไทเฮาแทนเขาด้วย เท่าที่คำนวณเวลา จดหมายตอบกลับจากเสด็จอาสามน่าจะใกล้ส่งมาถึงแล้ว ระหว่างรอด้วยความร้อนรน ค่ำวันนี้เขาเพิ่งจะเสร็จจากงานในห้องทรงพระอักษรก็มีคนมากระซิบบอกว่าวันนี้ไทเฮาไปตำหนักตุนอี้อีกแล้ว ซ้ำยังอยู่ที่นั่นนานกว่าปกติ และกลับออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
สัญชาตญาณทำให้ซู่เจี่ยนสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงจนทนอยู่เฉยไม่ไหว ต้องเดินเลี้ยวมาตำหนักไทเฮาแล้วถามถึงเรื่องนี้ไปตรงๆ พอได้ยินน้ำเสียงตำหนิของนาง เขาก็ค้อมคำนับขอขมามารดาทีหนึ่งแล้วกล่าวถามใหม่ว่า “ทูลถามเสด็จแม่ ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เสด็จไปตำหนักตุนอี้ด้วยเรื่องอันใด”
หลันไทเฮาค่อยยิ้มออกอีกครั้ง แล้วเรียกโอรสเข้ามาใกล้ เห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับก็กระแอมเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก แค่ไปปรนนิบัติดูแลไท่เฟยระหว่างมื้ออาหาร และคุยกันเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ได้ยินว่าช่วงนี้พวกเป่ยตี๋ก่อปัญหาขึ้นที่แปดดินแดนจนรบพุ่งกันอีกแล้วหรือ เจี่ยนเอ๋อร์คงจะทุกข์ใจมากกระมัง แม่เห็นเจ้าใบหน้าซูบเชียว หิวหรือไม่ แม่จะสั่งให้คนเตรียมอาหารให้ พอดีเลย พวกเราแม่ลูกไม่ได้กินอาหารด้วยกันนานเต็มทีแล้ว…”
พูดจบก็หันไปร้องสั่งให้คนเตรียมอาหาร ซู่เจี่ยนบอกว่าตนกินมาจากห้องทรงพระอักษรแล้ว หลังจากจ้องหน้านางทีหนึ่งก็ขอตัวแล้วกลับตำหนักบรรทมด้วยหัวใจหนักอึ้ง
กลุ่มขันทีและนางกำนัลประจำตัวต้อนรับเขาเข้าไปในตำหนักแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ระหว่างแก้แถบรัดเอวและถอดเสื้อคลุมเด็กหนุ่มพลันสังเกตเห็นว่าหนึ่งในคนที่กำลังปรนนิบัติตนอยู่เป็นนางกำนัลหน้าใหม่ แต่เดิมคนที่ทำหน้าที่นี้เป็นอีกคน พอถามถึงได้รู้ว่านางกำนัลคนก่อนเพิ่งถูกไทเฮาเรียกตัวไปวันนี้ บอกว่าจะให้ทำหน้าที่อื่น จากนั้นก็ส่งคนนี้มาให้แทน
ตั้งแต่ปีกลายเป็นต้นมานางกำนัลในตำหนักเขาที่หน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลาหน่อยเริ่มหายหน้าหายตาไปทีละคนสองคน ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต ต่อมาถึงค่อยๆ เอะใจ พอรู้ว่าเป็นคำสั่งของหลันไทเฮา แม้จะรู้สึกไม่พอใจก็ยังข่มอารมณ์ไว้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้ฝักใฝ่ทางนี้อยู่แล้ว
วันนี้นางกำนัลน้อยคนนั้นก็ถูกเรียกตัวไปอีก แต่เดิมนางรับใช้เขาในห้องทรงพระอักษร ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจ เพิ่งมารู้โดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อนว่านางเป็นคนเยี่ยนเหมิน เขานึกถึงเสด็จอาสะใภ้สามทันที เลยรู้สึกถูกชะตากับนางกำนัลน้อยคนนั้น แล้วสั่งให้นางเปลี่ยนมาทำงานในตำหนักบรรทมแทน บางทีเวลากลับมาถึงตำหนักก็ชวนนางคุยเรื่องเยี่ยนเหมินบ้าง
ไม่คิดเลยว่าเพียงเท่านี้หลันไทเฮาถึงกับยื่นมือเข้ามาดึงนางออกไป
ซู่เจี่ยนเดือดดาลอย่างหนัก สะบัดแขนสลัดชุดราชสำนักที่เพิ่งถอดออกจากตัวลงบนพื้นแล้วหมุนตัวสาวเท้าเดินออกไป ขันทีกับนางกำนัลรอบตัวพากันคุกเข่าอย่างพรั่นพรึง
เด็กหนุ่มเดินดุ่มมาถึงประตูตำหนักบรรทม ขันทีคนหนึ่งจ้ำเท้าเดินลิ่วเข้ามาพอดี เห็นเขาเดินปึงปังออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียวก็รีบหลบไปอีกทางแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท! จดหมายจากอ๋องผู้สำเร็จราชการมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบก็ประคองส่งให้ด้วยสองมือ
ระยะนี้ซู่เจี่ยนเฝ้ารอจดหมายอย่างร้อนใจ ได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย รีบปรี่ไปรับจดหมายมา หมุนตัวเดินเข้าไปข้างในแล้วเปิดออกอ่านทันที ทว่าเมื่ออ่านจนจบก็ผิดหวังอย่างรุนแรง
เสด็จอาสามของเขาตอบกลับมาว่าออกเดินทางกลับแล้ว จะถึงฉางอันเดือนหน้า สำหรับเรื่องที่เขาเขียนไปในจดหมาย เสด็จอาสามปลอบโยนเขาว่าอย่าได้กลัดกลุ้มร้อนใจ และอย่าปะทะกับไทเฮาหรือใครเด็ดขาด สุดท้ายบอกให้เขาทำใจให้สบาย รอให้ตนกลับมาเมื่อไรค่อยคุยกันโดยละเอียดอีกที
ตอนแรกซู่เจี่ยนนึกว่าเสด็จอาสามจะตอบกลับมาด้วยท่าทีชัดเจน ซึ่งก็คือคัดค้านการแต่งตั้งบุตรสาวของหลันหรงเป็นฮองเฮา เช่นนี้ตัวเขาจะได้งัดข้อกับไทเฮาอย่างมั่นใจ ไม่คิดเลยว่าเสด็จอาสามจะใช้คำพูดคลุมเครือที่ตีความได้สองอย่าง แค่บอกให้เขาทำใจให้สบายเท่านั้น
เขาจะทำใจให้สบายได้อย่างไรเล่า
ซู่เจี่ยนผงะอึ้งขึ้นมา