ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67
ในวัดฮู่กั๋วฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าแม่ทัพหญิงเป็นคนเช่นไร ได้เอ่ยวาจาลบหลู่นางอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังด้วยความโง่เขลา เสด็จอาสามจึงบอกเขาว่าตนแต่งงานกับแม่ทัพหญิงเพื่อแผนการของต้าเว่ย
เสด็จอาสามเป็นคนเช่นนี้ ในเมื่อทำกับการแต่งงานของตนเองได้ คราวนี้ก็ถึงตาฮ่องเต้อย่างเขาบ้างแล้ว หากเสด็จอาสามเห็นว่าเขาแต่งงานกับบุตรสาวสกุลหลันจะเป็นผลดีต่อราชสำนัก จะต้องบังคับเขาให้ยินยอมอย่างแน่นอน
ซู่เจี่ยนรู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ ชั่ววูบในระหว่างความคิดกำลังฟุ้งซ่าน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงแม่ทัพหญิงขึ้นมา
จำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียวว่าตอนไปส่งเสด็จอาสามกับนางออกจากเมืองหลวงเมื่อเดือนสี่ นางรับปากเขาไว้ว่าจะประชันฝีมือยุทธ์กัน ตอนนั้นเขาคิดไว้เต็มหัวใจว่าหลังเสร็จจากการเสด็จประพาสแดนใต้นางจะกลับเมืองหลวงพร้อมเสด็จอาสาม คิดไม่ถึงว่าหลังจากเยี่ยมไท่หวงไท่เฟยสกุลจวงที่เฉียนถังเสร็จแล้วนางจะตรงกลับเยี่ยนเหมินทันที อีกทั้งเวลานี้ยังทำศึกอยู่ที่แปดดินแดน
คงเพราะคืนนี้จิตใจห่อเหี่ยว พอคิดถึงตอนจากลากันขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์จึงหม่นหมองเป็นเท่าทวี
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเสด็จอาสะใภ้สามถึงพูดทำนองว่า ‘หากมีโอกาสจะลับฝีมือด้วย’ ไม่ใช่ ‘หลังกลับจากเดินทางคราวนี้จะลับฝีมือด้วย’ เห็นชัดว่านางกำหนดแผนการไว้แต่แรกแล้ว
เสด็จอาสะใภ้สามไม่พูดให้เขาฟังน่ะช่างเถิด เพราะไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมากนัก แต่เสด็จอาสามจะต้องรู้แน่ๆ ทว่าก็ยังปิดบังเขา จนเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวแม้แต่นิดเดียว ต่อเมื่อมีข่าวการศึกทางแปดดินแดนส่งมาฉางอันนั่นล่ะ เขาถึงเพิ่งรู้ว่านางกลับเยี่ยนเหมินแล้ว
เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดนิดๆ เหมือนถูกคนที่ไว้ใจที่สุดปิดบัง ความรู้สึกหลากหลายที่ประเดประดังขึ้นมาในใจเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรกในชีวิต จนได้แต่นอนพลิกตัวกระสับกระส่าย ข่มตาหลับไม่ลงทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นครบกำหนดประชุมใหญ่ราชสำนัก หัวข้อการประชุมที่พูดกันมากที่สุดระยะนี้ย่อมหนีไม่พ้นการศึกที่แปดดินแดน บังเอิญว่าเมื่อคืนเพิ่งมีรายงานความคืบหน้าส่งเข้ามา แจ้งว่ากองทหารม้าลาดตระเวนภายใต้การนำของแม่ทัพฉางหนิงลอบเดินทางผ่านอาณาเขตศัตรูขึ้นไปทางเหนือจนถึงเมืองเฟิงเยี่ยอย่างราบรื่น บัดนี้กำลังช่วยทำศึกอย่างสุดกำลัง
เหล่าขุนนางใหญ่พากันยิ้มแย้มแช่มชื่น ต่างก้าวออกมาพูดทำนองว่าที่กองกำลังเส้นทางทิศเหนือประสบความสำเร็จราบรื่นตั้งแต่ยกธงรบเป็นเพราะปรีชาญาณของฮ่องเต้กับอ๋องผู้สำเร็จราชการ หลังเลิกประชุมเสียนอ๋องกับขุนนางสำคัญก็ตามฮ่องเต้น้อยไปที่หอตะวันตก
ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานับแต่อ๋องผู้สำเร็จราชการไปจากเมืองหลวง หลังเลิกประชุมราชสำนักฮ่องเต้น้อยจะเรียกขุนนางผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งมาหารือราชกิจที่นี่ทุกครั้ง ปฏิบัติตามกิจวัตรที่อ๋องผู้สำเร็จราชการทำเวลาอยู่ในเมืองหลวงทุกประการ เขาร่วมหารือด้วยตนเองอย่างขยันขันแข็งเสมอมา ทว่าวันนี้เขาเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สีหน้าก็ดูอิดโรย เสียนอ๋องไม่ถือสาเพราะเข้าใจดีว่าเขายังอายุน้อย ตั้งใจทำงานติดต่อกันมาหลายเดือนคงเหนื่อยมาก หารือกันเฉพาะเรื่องสำคัญไม่กี่เรื่องก็บอกให้แยกย้าย ฮ่องเต้น้อยลุกเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
หลังส่งฮ่องเต้น้อยแล้วเสียนอ๋องกับฟางชิงก็ทำท่าจะกลับบ้าง ทว่าข้าหลวงจากตำหนักไทเฮามาแจ้งว่าไทเฮาต้องการคุยด้วย ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ในเมื่อไทเฮาสั่งจึงรีบไปทันที เมื่อมาถึงก็คารวะเจ้าของตำหนักที่นั่งรออยู่แล้ว ไทเฮาสั่งให้คนยกเก้าอี้ให้พวกเขา แล้วยิ้มแย้มชื่นชมว่าโชคดีที่ฮ่องเต้น้อยได้ทั้งคู่คอยช่วยแบ่งเบาราชกิจในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งสองเอ่ยขอบคุณอย่างถ่อมตัว หลังปราศัยกันตามมารยาทพอเป็นพิธีแล้วก็ได้ยินไทเฮาพูดขึ้นว่า “ท่านทั้งสองนั้น ท่านหนึ่งเป็นผู้อาวุโสในราชวงศ์ อีกท่านหนึ่งเป็นแขนขาของราชสำนัก ที่เชิญทั้งสองท่านมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากมอบหมายให้ช่วยรับไปจัดการ”
เสียนอ๋องกับฟางชิงลุกขึ้นยืน “ไทเฮาโปรดตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
นางอธิบาย “เกี่ยวกับการแต่งตั้งฮองเฮาให้ฮ่องเต้นั่นล่ะ ฮ่องเต้อายุสิบสี่พรรษาแล้ว การแต่งตั้งฮองเฮามีผลต่อบ้านเมือง จำต้องจัดการโดยเร็ว ข้าตรองแล้วตรองอีกกว่าจะเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดได้คนหนึ่ง เป็นบุตรสาวของหลันหรง…”
หลันไทเฮามองเสียนอ๋องกับฟางชิงที่อยู่ตรงหน้า เว้นช่วงไปเล็กน้อย เมื่อพูดต่ออีกครั้งก็เพิ่มความเคร่งเครียดในน้ำเสียง “บุตรสาวของหลันหรงเป็นเลิศในทุกด้าน ไม่ว่าจะนิสัยใจคอ กิริยามารยาท รูปโฉม หรือความเพียบพร้อมของกุลสตรี เป็นคนที่ข้าพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว เห็นว่าเป็นตัวเลือกฮองเฮาที่เหมาะสมเพียงหนึ่งเดียวของต้าเว่ย! ข้อนี้ข้าไม่ได้พูดเองเออเองคนเดียว ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยก็ทรงเห็นด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าตกลงตามนี้เถิด ขอให้พวกท่านทั้งสองไปสั่งการกรมพิธีการให้เร่งมือจัดการโดยเร็ว ประกาศให้ราษฎรรู้กันทั่วทั้งแผ่นดิน”
หลันไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดหนักแน่น ยกผู้อาวุโสในตำหนักตุนอี้มาอ้าง ซ้ำหญิงที่เลือกก็ยังมาจากสกุลหลัน เป็นบุตรสาวหลันหรงซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของฮ่องเต้ เรียกว่าผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองกันสองชั้น
ตัดปัจจัยเหล่านี้ออกไป พิจารณาแค่ตัวเลือกฮองเฮาเป็นบุตรสาวสกุลหลันก็มองไม่เห็นแล้วว่ามีอะไรไม่เหมาะสมตรงที่ใด เวลานี้หลันหรงเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก วางตัวดี ทั้งด้านนิสัยใจคอและความสามารถก็ไม่เลว ที่ผ่านมาสกุลหลันก็มีแต่ชื่อเสียงในแง่บวกมาโดยตลอด
ดังนั้นแม้ฟางชิงจะรู้สึกว่าเร่งรีบเกินไปก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามท้วงติง ได้แต่เหลือบมองเสียนอ๋องที่อยู่ข้างๆ
อ๋องสูงวัยตอบว่า “ไทเฮาตรัสถูกต้องยิ่งนัก ควรพิจารณาแต่งตั้งฮองเฮาถวายฝ่าบาทได้แล้วจริงๆ ทว่าจะรีบร้อนเกินไปไม่ได้ เวลานี้ทางแปดดินแดนยังมีการศึกติดพันที่ราชสำนักต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ยังไม่ใช่วาระเหมาะสมในการแต่งตั้งฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างไรรอจนการศึกเสร็จสิ้น แนวหน้าส่งข่าวแจ้งชัยชนะเมื่อไรค่อยมาหารือกันอีกที เช่นนี้เท่ากับมีเรื่องน่ายินดีซ้อนยินดี จะไม่ประเสริฐยิ่งกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าหลันไทเฮาเลือนหาย เอ่ยถามเสียงเรียบ “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการศึกที่แนวหน้าด้วย ข้าเองก็ใช่ว่าจะให้จัดงานอภิเษกสมรสขึ้นในทันที แค่อยากให้กรมพิธีการกำหนดตัวฮองเฮาไว้ก่อนเท่านั้น!”
เสียนอ๋องตอบ “ไทเฮาตรัสมีเหตุผล แต่เมื่อครู่ไทเฮาก็ตรัสเช่นกันว่าการแต่งตั้งฮองเฮาเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงที่เกี่ยวพันถึงบ้านเมือง กระหม่อมจึงเห็นว่ารอให้อ๋องผู้สำเร็จราชการกลับถึงเมืองหลวงก่อนค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีจะเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ”