ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67
สีหน้าไทเฮาเปลี่ยนไปทันควัน น้ำเสียงก็ห้วนขึ้นผิดหู “เรื่องนี้แม้แต่ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยยังทรงเห็นชอบแล้ว! อีกอย่างข้าก็เป็นไทเฮา เป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ ไม่มีสิทธิ์จะเลือกฮองเฮาให้โอรสตนเองหรืออย่างไร หรือพวกท่านเห็นว่าพวกข้าเป็นหญิงม่ายกับลูกกำพร้าไร้คนคุ้มครอง เลยจะรังแกกัน!” พูดจบก็ร้องสั่ง “เรียกหูป๋อหมินเข้ามา!”
เสนาบดีกรมพิธีการที่ถูกไทเฮาเรียกตัวมารออยู่ก่อนแล้วรีบเข้ามาข้างใน รับฟังเรื่องที่นางต้องการให้เขาเร่งจัดการทันที
ที่ปรึกษาราชการทั้งสองคนนั้น ฟางชิงไม่เอ่ยอะไร ส่วนเสียนอ๋องคัดค้านอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำเหนือขึ้นไปกว่านี้ยังมีอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ยังกลับไม่ถึงเมืองหลวง หูป๋อหมินไม่กล้ารับคำสั่ง ทว่าก็ไม่กล้าไม่รับด้วยเช่นกัน ระหว่างกำลังก้มหน้าอึกอักอยู่นั้น เสียนอ๋องก็ก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไทเฮาโปรดอย่าได้กริ้วไป กระหม่อมไหนเลยจะกล้ารับโทษฐานนี้ ก่อนอ๋องผู้สำเร็จราชการจะเดินทางออกจากเมืองหลวงได้มอบหมายให้กระหม่อมเป็นที่ปรึกษาราชการ กระหม่อมถึงได้บังอาจแสดงความเห็น เรื่องนี้จะรวบรัดจัดการอย่างปุบปับไม่ได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าต้องยึดพระดำริไทเฮาเป็นหลัก แต่รออ๋องผู้สำเร็จราชการกลับมาก่อนค่อยจัดพิธีจะเป็นอะไรไปเล่า เรื่องสำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะรีบร้อนทำส่งเดชไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเท่ากับไม่ให้เกียรติทั้งฝ่าบาทและบุตรสาวสกุลหลันนะพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนอ๋องมิได้ใช้น้ำเสียงขู่เข็ญแม้แต่นิดเดียว ทว่าแสดงท่าทีชัดเจน นั่นคือคัดค้านหนักแน่นว่าไม่ควรกำหนดตัวฮองเฮาเสียตั้งแต่ตอนนี้
หลันไทเฮาไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสในราชวงศ์ที่ปกติอยู่เงียบๆ ไม่ออกสิทธิ์ออกเสียงวันนี้จะแสดงความเห็นแน่วแน่อย่างเหนือความคาดหมาย โทสะนางพลุ่งพล่านขึ้นมา จนเกือบตบโต๊ะสั่งเสนาบดีกรมพิธีการให้ดำเนินการตามความประสงค์ของตนทันทีอยู่รอมร่อ ทว่าถึงอย่างไรนางก็ยังไม่มั่นใจพอ ด้วยรู้ว่าตอนนี้ตนยังไม่มีอำนาจชี้ขาดความเป็นไปในราชสำนัก จึงพยายามสะกดกลั้นโทสะ กัดฟันกรอดพลางถลึงตามองเสียนอ๋องแล้วพูดอย่างเย็นชา “ความหมายโดยนัยของท่านก็คือหากอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่เห็นชอบ หญิงม่ายเช่นข้าก็แต่งตั้งฮองเฮาให้โอรสตนเองไม่ได้อย่างนั้นสินะ”
คำพูดนั้นเพิ่งสิ้นเสียง ประตูตำหนักที่อยู่ตรงหน้าก็พลันเปิดผางจนกระแทกผนังดังโครม ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นฮ่องเต้น้อยเดินดุ่มๆ เข้ามาข้างในแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง “เสด็จแม่! ต่อให้อ๋องผู้สำเร็จราชการเห็นชอบ เราก็ไม่มีทางตอบตกลงเรื่องนี้หรอก!”
เสียนอ๋องหันไปค้อมกายคารวะ ส่วนฟางชิงกับหูป๋อหมินเห็นเจ้าตัวออกหน้าเอง ซ้ำยังพูดถึงขั้นนี้ พวกตนไม่ต้องแสดงจุดยืนอย่างเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว…ต้องตระหนักว่าหากคัดค้านก็เท่ากับผิดใจกับหลันหรงอย่างเปิดเผย หลันหรงผู้นี้เป็นลุงแท้ๆ ของฮ่องเต้น้อย เป็นญาติใกล้ชิดที่ฮ่องเต้น้อยสนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี ตัวพวกเขาเองเล่าก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสในราชวงศ์เหมือนอย่างเสียนอ๋อง ถึงอย่างไรก็ต้องยำเกรงความสัมพันธ์ที่บิดาฝ่ายหญิงมีกับฮ่องเต้น้อย แต่ในเมื่อเจ้าตัวพูดเช่นนี้ พวกเขาก็ลอบพรูลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก แล้วรีบถวายคำนับบ้าง
เมฆดำทะมึนทาบเงาบนใบหน้าหลันไทเฮา บุตรชายเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า เชิดคางขึ้น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ไม่คิดจะไว้หน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว นางพยายามสะกดอารมณ์เต็มที่เพื่อรักษาท่าทีอันสง่าของตนแล้วเอ่ยว่ากลับไปก่อน ไว้ค่อยหารือกันวันหลัง เมื่อทุกคนกลับออกไปหมดจนเหลือแค่สองคนแม่ลูก เพลิงโทสะร้อนเร่าในใจก็พลุ่งพล่านสุดระงับ นางตบโต๊ะข้างตัวโดยแรงหลายทีจนกำไลหยกที่สวมอยู่แตกเป็นหลายส่วนก่อนร่วงกราวลงบนพื้น
ดวงตาทั้งสองข้างของหลันไทเฮาถลึงกว้าง ปีกจมูกกระพือพะเยิบพะยาบ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ลุกพรวดขึ้นก้าวปราดเดียวถึงตัวซู่เจี่ยน จากนั้นเสียงเพียะดังขึ้น นางสะบัดมือตบหน้าบุตรชายเต็มแรง
“เจ้าเด็กอกตัญญู! ข้าให้กำเนิดเจ้า เลี้ยงดูเจ้ามา แต่เจ้ากลับแข็งข้อใส่ข้าต่อหน้าผู้อื่น! เรื่องนี้ข้าไม่ได้ตัดสินใจเองคนเดียว! ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยก็พยักหน้าเห็นชอบแล้ว! อย่ามาถือดีว่าเป็นฮ่องเต้แล้วต่อต้านข้าไปเสียทุกอย่างนะ ข้าจะบอกอะไรให้ ทั้งแผ่นดินนี้มีเพียงข้าคนเดียวที่มีสิทธิ์กำหนดเรื่องคู่ครองของเจ้า! สกุลหลันชื่อเสียงดีงาม คุณธรรมสูงส่ง นอกจากบุตรสาวสกุลหลันก็ไม่มีใครดีพอสำหรับตำแหน่งฮองเฮาอีกแล้ว! ต่อให้อ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังเป็นคนนอก มาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคู่ครองเจ้าไม่ได้หรอก!”
ซู่เจี่ยนยืนเอามือกุมแก้มสักพักก็ลดมือลงช้าๆ นางถึงเพิ่งเห็นว่าที่แท้เมื่อครู่แหวนบนนิ้วตนเองครูดแก้มบุตรชายจนเลือดไหลซิบ
หลันไทเฮาตื่นตระหนกทันที รีบถลาเข้าไปเอื้อมมือจะแตะแก้มบุตรชาย แต่เขาถอยหลังหลบก้าวหนึ่ง โทสะยังโชนแสงวาววับอยู่ในดวงตา ขณะกัดฟันกรอดเค้นเสียงออกมาทีละคำ “อยากแต่งตั้งใครเป็นฮองเฮาก็แต่งตั้งตามใจชอบเลย! ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ข้าเป็นมาจนเกินพอแล้ว!” พูดจบก็หมุนตัวสาวเท้าเดินลิ่วๆ ออกไป
“เจี่ยนเอ๋อร์!” ผู้เป็นมารดาร้องเรียกพลางวิ่งตาม แต่วิ่งออกไปนอกตำหนักก็พบว่าเขาหายไปแล้ว นางรีบเรียกข้ารับใช้มาสั่งให้ตามไปดูว่าเขาอยู่ที่ใด สักพักข้ารับใช้ก็กลับมารายงานว่าฮ่องเต้กลับตำหนักบรรทมเรียบร้อยแล้ว หลันไทเฮาได้ยินดังนั้นถึงค่อยเบาใจ
เมื่อครู่นางโมโหจนเผลอตบบุตรชายอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ ซ้ำยังครูดแก้มเขาเป็นแผลโดยไม่ได้ตั้งใจ หลันไทเฮารู้สึกเสียใจยิ่งนัก แต่พอคิดว่าแผนการที่วางไว้ไม่ราบรื่น นอกจากตนจะข่มเสียนอ๋องไม่ลง ยังถูกบุตรชายฉีกหน้าให้คนนอกเห็น ความหงุดหงิดขุ่นมัวก็ผุดขึ้นในหัวใจอีกครั้ง จนได้ยินเสียงวิ้งๆ ดังก้องในหัวคล้ายมีผึ้งบินอยู่ในนั้นทั้งรัง หลังถูกข้ารับใช้ประคองกลับเข้าไปในตำหนัก นางนั่งเหม่อได้สักพักก็สั่งให้คนไปสืบดูที่ตำหนักบรรทมของซู่เจี่ยนอีก พอได้ยินว่าทางนั้นเรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ทำแผลบนแก้มแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ค่อยเบาใจไปเปลาะหนึ่ง ก่อนสั่งให้คนสนิทลอบออกจากวังหลวงเพื่อนำความไปแจ้งสกุลหลัน
เดือนก่อนหลันหรงพี่ชายนางไปกำกับดูแลการบำรุงซ่อมแซมสุสานหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลี่ เวลานี้ยังไม่กลับ
คืนนี้หลันไทเฮาปวดศีรษะทั้งคืน ข้าหลวงช่วยนวดคลึงให้ก็ไม่เป็นผล
เช้าวันรุ่งขึ้นหลันไทเฮาปลุกแรงใจลุกไปตำหนักบรรทมซู่เจี่ยนด้วยตนเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตั้งใจจะพูดจาหว่านล้อมเขาให้ดี ตอนที่มาถึงประตูตำหนักยังปิดสนิท ข้าราชบริพารรายงานว่าก่อนเข้านอนเมื่อคืนฮ่องเต้สั่งว่าเช้าวันนี้จะไม่ไปประชุมราชสำนัก ให้เหล่าขุนนางใหญ่จัดการงานกันเอง ตนเองจะนอนตื่นสายหน่อย หากไม่เรียก ใครก็ห้ามเข้ามารบกวนทั้งนั้น
หลันไทเฮากำลังวิตกอยู่พอดีว่าพวกขุนนางจะเห็นรอยแผลบนใบหน้าบุตรชาย กลัวว่าหากมีคนเอาไปพูดว่าตนเป็นคนทำจะไม่งาม สิ่งที่ข้ารับใช้รายงานสอดคล้องกับความต้องการของนางพอดี นางสั่งให้ทุกคนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก หากฮ่องเต้ตื่นแล้วให้รีบนำความไปแจ้งตน จากนั้นก็กลับไปรอที่ตำหนัก ทว่ารอแล้วรอเล่าจนถึงเที่ยงวัน ส่งคนไปถามทางนั้นไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ฮ่องเต้ก็ยังไม่ตื่นนอนเสียที นางอดเป็นห่วงไม่ได้จึงไปดูด้วยตนเองอีกครั้ง เมื่อเคาะประตูเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบก็เปิดประตูเสียเอง โดยสั่งให้ทุกคนรออยู่ข้างนอก จากนั้นก็เดินเข้าไปถึงหน้าเตียงนอนบุตรชายตามลำพัง
มองผ่านม่านเตียงเข้าไปก็เห็นได้รำไรว่าเขานอนตะแคงนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อย เชื่อว่าคงยังไม่หายโกรธขึ้ง นางกระแอมดังๆ ทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจี่ยนเอ๋อร์ แม่ผิดไปแล้ว แม่นึกเสียใจตั้งแต่ที่ตบเจ้าเมื่อวานแล้ว เจ้าเป็นลูกของแม่ มีหรือแม่จะประสงค์ร้ายต่อเจ้า การแต่งงานครานี้แม่คิดเพื่อประโยชน์ของเจ้าทั้งสิ้นนะ วันข้างหน้าเมื่อเจ้าจัดการงานราชกิจด้วยตนเอง ใครเล่าจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้เจ้า จงรักภักดีต่อเจ้าสุดหัวใจ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
พูดมาจนถึงตรงนี้ ฮ่องเต้น้อยก็ยังไม่หือไม่อือ หลันไทเฮาแหวกม่านเดินเข้าไปประชิดเตียงพลางพูดเอาใจ “เจ้านึกตำหนิที่แม่ย้ายนางกำนัลคนนั้นไปที่อื่นใช่หรือไม่ แม่ผิดเอง หากเจ้าถูกใจนางล่ะก็ แม่จะส่งนางกลับมาให้คอยปรนนิบัติรับใช้เจ้าก็ได้…”
ระหว่างที่พูดก็เอื้อมมือไปค่อยๆ ดึงผ้าห่มที่บุตรชายคลุมโปงไว้ลงมา ทันใดนั้นมือของนางก็ชะงัก ดวงตาเบิกกว้างจนปูดโปน ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
อึดใจต่อมาเหล่าข้าราชบริพารที่รอรับใช้อยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงแผดตะเบ็งปานปอดจะฉีกดังออกมาจากข้างใน “ใครก็ได้!”
เป็นเสียงของไทเฮา
ทุกคนกรูกันเข้าไป แล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพตรงหน้า
บนเตียงมังกรไม่มีร่างของฮ่องเต้น้อยนอนอยู่ มีแต่หมอนข้างกับเสื้อผ้าที่ยัดไว้ใต้ผ้าห่ม หลันไทเฮาใช้มือข้างหนึ่งเกาะเสาเตียงพยุงตัวยืนอย่างยากลำบาก ใบหน้าซีดเผือด มืออีกข้างสั่นระริก “เร็ว! รีบไปตามหาฮ่องเต้…” ความร้อนรนเข้าจู่โจมหัวใจ ร่างของนางอ่อนยวบ หมดสติไปทั้งอย่างนั้น