ซู่เซิ่นฮุยข่มความรังเกียจแล้วดึงแขนตนเองออกจากนิ้วที่จับไว้แน่นของอีกฝ่าย สั่งให้คนพาสตรีนางนี้กลับไปพักฟื้นที่ตำหนัก หลันไทเฮาเหมือนได้สติขึ้นเล็กน้อย รีบบอกเขาว่า “น้องสาม เจ้าอย่าได้เข้าใจหลันหรงผิดเด็ดขาด! ทุกอย่างเป็นความคิดของข้าเอง เขาจงรักภักดีต่อราชสำนักอย่างสุดหัวใจ เชื่อฟังน้องสามอย่างยินดีถวายชีวิตให้ ตอนเกิดเรื่องเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงด้วยซ้ำ เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น…”
ซู่เซิ่นฮุยผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทคนหนึ่งของหลิวเซี่ยงกำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้ จึงทิ้งหลันไทเฮาที่ยังละล่ำละลักแก้ต่างเอาไว้แล้วเดินออกจากหอตะวันตก
หลิวเซี่ยงเพิ่งจะตามเขากลับถึงฉางอันก็เข้าร่วมการสืบหาร่องรอยฮ่องเต้น้อยทันที เวลานี้ได้เบาะแสล่าสุดว่ามีคนพบศพที่ตายมาหลายวันลอยขึ้นอืดอยู่ทางตอนเหนือของเมืองที่เป็นปลายน้ำของแม่น้ำเว่ย ทั้งส่วนสูงและอายุใกล้เคียงกับคนที่พวกเขาตามหา แต่เนื่องจากอากาศเริ่มมีความระอุอบอ้าวของฤดูร้อน ศพแช่อยู่ในน้ำมาหลายวัน จึงขึ้นอืดจนใบหน้าบวมเป่งและเสียหาย พวกนั้นไม่กล้าชี้ชัด จึงรีบปิดข่าวทันที แล้วเชิญเขาไปดูด้วยตนเอง
ซู่เซิ่นฮุยเหมือนถูกทุบด้วยค้อน เขารู้สึกหน้ามืด เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาจนชุ่มฝ่ามือ เขาออกจากวังหลวงทางประตูข้าง จากนั้นก็ออกไปนอกเมืองอย่างเงียบเชียบแล้วควบม้าสุดความเร็วมายังจุดที่พบศพลอยน้ำ
กระโจมมิดชิดหลังหนึ่งตั้งรออยู่ตรงริมฝั่ง ทหารกันกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดูอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวออกไป หลิวเซี่ยงคุมคนตั้งแถวรักษาการณ์ตามความยาวของฝั่งน้ำ พอเห็นเขาควบม้ามาแต่ไกลก็วิ่งออกมารับหน้า
ซู่เซิ่นฮุยก้าวเข้าไปในกระโจมริมน้ำ ศพที่มีผ้าคลุมปรากฏสู่สายตาทันที
เขาหยุดชะงักตรงประตูกระโจม รู้สึกเหมือนก้าวขาต่อไม่ออก จ้องมองอยู่สักพัก ในที่สุดก็สามารถตั้งสติขยับเท้าเดินต่อไปจนถึงศพนั้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งยองๆ เอื้อมมือไปเลิกผ้าคลุมศพขึ้นอย่างเชื่องช้า
หลิวเซี่ยงรออยู่ข้างนอกด้วยหัวใจหนักอึ้ง นึกไม่ออกเลยว่าหากศพในกระโจมตอนนี้เป็นฮ่องเต้น้อยจริง สถานการณ์ในราชสำนักจะดำเนินไปสู่ทิศทางใด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในรูปแบบใด…ระหว่างความคิดกำลังฟุ้งซ่านก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกมาจากในกระโจม
ร่างคุ้นเคยเดินออกมาจากข้างใน เขารีบก้าวเข้าไปหา แต่ไม่กล้าถามอะไรทั้งสิ้น ได้แต่มองฝ่ายตรงข้าม
อ๋องผู้สำเร็จราชการส่ายศีรษะให้นิดๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลิวเซี่ยงเห็นดังนั้นก็เข้าใจ เขาพรูลมหายใจยาวเหยียด จากนั้นก็ยืนส่งเจ้านายเดินออกไป ก่อนจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาถอนกระโจม พร้อมกันนั้นยังให้ผู้ว่าการฉางอันมารับช่วงจัดการศพลอยน้ำนิรนามต่อ
ซู่เจี่ยนได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เกิด ผิวกายจึงขาวผ่องเนียนละเอียด ทว่าบนขามีรอยแผลเป็นถูกไฟคลอกอยู่จุดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากตอนเล่นไฟแล้วเผลอทำไหม้ตัวสมัยเด็กๆ ศพนั้นขึ้นอืดจนจำสภาพเดิมไม่ได้ แช่น้ำมานานจนผิวบวมเป่งก็จริง แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียดก็หารอยแผลเป็นนั้นไม่เจอ
ศพนั่นไม่ใช่หลานชายเขา
ซู่เซิ่นฮุยเดินกลับไปที่อาชา ใครบางคนกำลังเร่งควบม้ามาจากทิศทางตรงข้ามในจังหวะนั้น พอเห็นเขาก็รีบตวัดตัวลงมาทั้งที่ม้ายังหยุดไม่สนิทแล้ววิ่งเต็มเหยียดมาหาเขาต่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะโดยแรง
“กระหม่อมมีความผิดมหันต์! ผิดจนควรตายสักหมื่นครั้งพ่ะย่ะค่ะ!”
หลันหรงตามมาถึงที่นี่
พอได้รู้ข่าวว่าฮ่องเต้น้อยหายตัวไปเขาก็รีบกลับจากสุสานหลวงที่ตนควบคุมงานอยู่ทันที ช่วงที่ผ่านมาเขานำกำลังคนออกค้นหาทั้งเหนือใต้ออกตก ไม่ได้หลับตานอนติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว เวลานี้สีหน้าจึงหมองคล้ำอิดโรย ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าหน้าผากถลอกเลือดไหลเพราะโขกลงกับก้อนกรวดริมตลิ่งเมื่อครู่
“กระหม่อมมีความผิดมหันต์…”
เขาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงสั่นเครือระหว่างคุกเข่าตรงหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการ พอสายตาเหลือบมองไปเห็นกระโจมริมน้ำ ความพรั่นพรึงก็ฉายขึ้นในแววตา “ท่านอ๋อง ข้างในนั้น…”
หลันหรงเงียบไป ไม่มีความกล้าจะถามต่อให้ครบประโยค
ซู่เซิ่นฮุยมีสีหน้าสงบเยือกเย็นลึกล้ำดุจห้วงน้ำลึก หลังจากที่ยืนหลุบตามองฝ่ายตรงข้ามได้สักพัก ในที่สุดก็ขยับปากตอบเสียงเรียบ “ไม่ใช่”
หลันหรงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเหมือนทรงตัวไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อได้ยินคำตอบ ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเดินผ่านร่างตนเองไป จึงรีบปลุกปลอบใจลุกขึ้นไล่ตามไปคุกเข่าขวางหน้าชายหนุ่มไว้อีกครั้ง
“ท่านอ๋อง! เรื่องมาถึงขั้นนี้ กระหม่อมทราบดีว่าโทษทัณฑ์ของตนร้ายแรงนัก ทุกอย่างเป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมจะไม่ขอแก้ต่างให้ตนเองแต่อย่างใด เพียงแต่อยากทูลคำเดียว นั่นคือกระหม่อมไม่เคยบังอาจคิดเห่อเหิมอยากให้บุตรสาวตนเองเป็นฮองเฮาเลย หากท่านอ๋องไม่ทรงเชื่อ กระหม่อมยินดีสาบานว่าแม้นกระหม่อมกล่าววาจาเท็จเพียงครึ่งคำ…”
พูดมาถึงตรงนี้ก็หันหน้าเข้าหาแม่น้ำเว่ย ลั่นสัตย์สาบานต่อสายน้ำที่ไหลเชี่ยวไปข้างหน้า “ขอให้หลันหรงตายตกอยู่ใต้ลำน้ำเว่ยแห่งฉางอันนี้ ถูกปลากัดกินศพ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดชั่วกัลปาวสาน!”
ซู่เซิ่นฮุยผินหน้ามาสบตาฝ่ายตรงข้ามครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “แม่ทัพหลันลุกขึ้นเถิด เรื่องสำคัญเร่งด่วนยามนี้คือต้องหาคนให้เจอก่อน”
หลันหรงรีบโขกศีรษะอีกครั้งแล้วลุกขึ้นรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”