ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67
ซู่เซิ่นฮุยกล่าว “ข้ารู้ว่าเหตุใดขุนนางผู้ใหญ่ทุกท่านถึงได้มารวมตัวกัน ระหว่างทางกลับเมืองหลวงข้าเองก็ได้ข่าวว่าฝ่าบาทประชวร ด้วยความเป็นห่วงพระอาการจึงได้เร่งเดินทางกลับมา เวลานี้ยังรักษาพระอาการของฝ่าบาทให้หายไม่ได้ หมอหลวงบอกว่าโรคนี้อาจติดคนรอบตัว ฝ่าบาทจึงมิได้เสด็จออกว่าราชการต่อเนื่องกันหลายวัน จนบัดนี้ก็ยังทรงพักฟื้นพระวรกายอยู่”
เขาพูดต่อไป “ขุนนางใหญ่ทุกท่านเป็นห่วงพระอาการ ข้อนี้ข้าเข้าใจได้ เพียงแต่…”
ดวงตาคมกวาดมองกลุ่มคนที่ยืนเงียบอยู่เบื้องหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนไปทันควันโดยไม่เว้นช่วง “เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าที่พวกท่านมารวมตัวกันในคืนนี้ไม่ใช่เพราะห่วงใยอาการประชวรของฝ่าบาทเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุอื่นด้วย”
ยังคงไม่มีใครส่งเสียง ทว่าแต่ละคนใจคอไม่ดีไปตามๆ กัน นอกจากเสียงของเขาแล้ว ภายในตำหนักโอ่โถงก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
“จริงอยู่ว่าฝ่าบาทประชวรจนมิอาจสะสางราชกิจ ทว่าในราชสำนักยังมีเสียนอ๋องกับราชเลขาธิการที่ข้าได้มอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาราชการก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวง ทั้งสองทุ่มเทแรงกายแรงใจเกื้อกูลฝ่าบาท ประคับประคองราชสำนัก เท่าที่ข้าดูวันนี้ก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาทำให้งานสำคัญระดับแผ่นดินของทุกท่านล่าช้า หรือราชสำนักจ่ายเบี้ยหวัดให้น้อยลงหรืออย่างไร ทุกท่านถึงได้ทำตัวหูหนวกสายตามืดบอด หลงเชื่อข่าวลือที่ไม่รู้ว่ามาจากคนใจต่ำทรามคิดร้ายหรือไม่ จนถึงกับมารวมตัวหน้าวังหลวง รบกวนฝ่าบาทในยามวิกาล หรือว่าพวกท่านแต่ละคนอยากเป็นตัวก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมืองกันเล่า”
น้อยครั้งจะได้เห็นเขาทำหน้าเคร่งขรึม วิพากษ์วิจารณ์ขุนนางด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้ พูดจบก็ลุกขึ้นยืน กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเฉียบขาด “หากคืนนี้ข้าไม่ออกมา ขุนนางใหญ่ทุกท่านคิดจะอาศัยความเป็นคนหมู่มากปักหลักยืนอยู่หน้าวังหลวงเพื่อปั่นป่วนราชสำนักใช่หรือไม่”
นอกจากจะละอายแก่ใจเพราะคำติเตียนของเขา ทุกคนยังพรั่นใจเสียไม่มีดี พอสิ้นเสียงชายหนุ่มขุนนางทั้งตำหนักก็ทิ้งตัวคุกเข่าขออภัยโทษเป็นทิวแถว แจกแจงว่าพวกตนมิได้มีเจตนาร้าย ที่มาขอเข้าเฝ้าในยามวิกาลคืนนี้ นอกจากจะเป็นห่วงอาการประชวรของฮ่องเต้ ยังร้อนใจอยากรู้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเสด็จประพาสแดนใต้ครานี้ได้ผลเช่นไร
ซู่เซิ่นฮุยเก็บความเคร่งเครียดบนใบหน้าลงไป ปล่อยให้เหล่าขุนนางแสดงจุดยืนจนเสร็จ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ กลับไปนุ่มนวลดังเดิม “การประพาสแดนใต้ครานี้ราบรื่นอย่างมาก รายละเอียดเป็นเช่นไร เมื่อขบวนใหญ่กลับถึงเมืองหลวงแล้วย่อมเขียนออกมา เมื่อถึงตอนนั้นทุกท่านก็จะได้ทราบกันถ้วนหน้า หากคืนนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้วก็แยกย้ายเถิด นี่ก็ดึกเต็มที พรุ่งนี้ยังมีประชุมราชสำนักอีก”
เหล่าขุนนางใหญ่สงบเสงี่ยมปานจักจั่นกลางฤดูเหมันต์ ส่งเสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็คำนับเขา แล้วออกจากตำหนักเซวียนเจิ้ง ระหว่างเดินออกจากวังหลวงไม่มีใครเอียงหน้าซุบซิบกันอีกเลย แต่ละคนปิดปากเงียบ พอเดินพ้นประตูวังก็แยกย้ายทางใครทางมัน มุ่งหน้ากลับจวนตนเอง
วังหลวงใต้ม่านรัตติกาลกลับคืนสู่ความเงียบสงบตามปกติอีกคำรบ
ซู่เซิ่นฮุยยืนอยู่ในตำหนักโอ่อ่าเวิ้งว้างตามลำพังพักใหญ่ ก่อนจะเดินไปห้องทรงพระอักษรของหลานชาย
ปกติหลังเลิกประชุมราชสำนักซู่เจี่ยนจะมานั่งตรวจอ่านฎีกาในนี้ หลังข้าหลวงจุดตะเกียงให้ เขาก้าวเข้าไปข้างในช้าๆ กวาดตามองตามโต๊ะ เก้าอี้ ตั่ง หนังสือ หมึกและพู่กัน ภาพอดีตสมัยที่หลานชายเพิ่งสืบราชสมบัติใหม่ๆ ผุดขึ้นตรงหน้า เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือเงยหน้าขึ้นมาโอดครวญกับเขาว่าเบื่อหน่ายงานราชกิจเต็มที ภาพความทรงจำนั้นทำให้หัวใจของซู่เซิ่นฮุยหนักอึ้ง
เป็นความผิดของเขาเอง การอบรมเลี้ยงดูของเขาผิดพลาด
หากตอนตอบจดหมายเขาลดการสั่งสอนแบบผู้ใหญ่ลง พยายามเข้าใจถึงความร้อนรนกังวลใจของเด็กหนุ่มให้มากกว่านี้ แล้วบอกไปตรงๆ ว่าจะไม่ยอมให้การแต่งตั้งบุตรสาวสกุลหลันเป็นฮองเฮาเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ไม่แน่หลานชายอาจไม่ฟุ้งซ่านจนวู่วามทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไป
ซู่เซิ่นฮุยระงับความรู้สึก ตั้งสติเริ่มสำรวจห้องทรงพระอักษร หวังจะได้พบเบาะแสที่บ่งชี้ว่าเจ้าตัวไปที่ใด ทว่าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ตอนนั้นฮ่องเต้น้อยหนีไปด้วยความโกรธ ไม่ได้ทิ้งข้อความใดๆ ไว้ทั้งสิ้น
แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ซู่เจี่ยนหนีไปตามลำพังคนเดียว แต่ไม่ได้ไปหาเขา ยังจะไปที่ใดได้อีกนะ
ระหว่างยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ใครคนหนึ่งพลันวาบเข้ามาในความคิด ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน
หรือเด็กหนุ่มจะกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นดั้นด้นเดินทางคนเดียวถึงเยี่ยนเหมินเพื่อไปพึ่งพานาง?
หลังจากหญิงสาวกลับมาอยู่ในเมืองหลวงช่วงก่อนไปแดนใต้ ท่าทีที่ซู่เจี่ยนมีต่อนางก็ผิดกับตอนแรกราวกับเป็นคนละเรื่อง
เขาสะกดความคิดเหลวไหลที่ผุดขึ้นในใจเอาไว้แล้วหลับตาทบทวนความทรงจำตอนที่หลานชายไปส่งตนและนางออกจากวังหลวง จำได้ว่านางอยู่บนรถม้าแล้วอยู่ๆ ซู่เจี่ยนก็เดินไปหาถึงหน้ารถ นัดแนะว่าเมื่อนางกลับเมืองหลวงให้มาลับฝีมือกับตนเองสักตั้ง ตอนนั้นเขายืนอยู่อีกด้าน เห็นชัดถนัดตาว่าหลานชายมีท่าทางอาลัยอาวรณ์เพียงไร
หัวใจเขาพลันเต้นตึกตัก เลือดเย็นเฉียบในกายเหมือนถูกอะไรปั่นป่วนให้ฉีดพล่านโดยแรง แม้แต่โคนผมยังแผ่ไอร้อนวูบวาบ
ซู่เซิ่นฮุยลืมตาขึ้น เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของฮ่องเต้น้อย ฎีกาที่เพิ่งส่งเข้ามาวันที่เจ้าตัวหนีไปยังวางกองอยู่ตรงนั้น เขาพลิกดูอย่างว่องไว เพิ่งจะเปิดดูเล่มแรก สายตาก็ตรึงนิ่งอยู่กับที่
เป็นรายงานการศึกจากเยี่ยนเหมิน! บอกว่าแม่ทัพฉางหนิงใช้เส้นทางเดินทัพทางเหนือทะลุผ่านอาณาเขตศัตรูสำเร็จ เวลานี้เคลื่อนพลถึงเมืองเฟิงเยี่ยอย่างราบรื่น
“ใครก็ได้ เข้ามาซิ!”
ชายหนุ่มพลันหันไปตะโกนเรียกเสียงดัง
วันรุ่งขึ้นมีความคืบหน้าจากหลิวเซี่ยง บอกว่าคนของตนเร่งไปสอบถามจุดพักม้าตามรายทางจากฉางอันไปเยี่ยนเหมิน จุดพักม้าทุกแห่งในเขตเมืองหลวงไม่พบเหตุผิดปกติ แต่พอพ้นรัศมีฉางอันเข้าเขตหัวเมืองทางเหนือกลับพบเบาะแสบางอย่าง เมื่อสิบกว่าวันที่แล้วมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งควบม้าเข้ามาในจุดพักม้าอู่พัวกลางดึก พร้อมหนังสือคำสั่งจากวังหลวงให้จุดพักม้าตามรายทางดูแลและสนับสนุนม้ารวมถึงข้าวของจำเป็นอย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มอ้างว่าตนได้รับมอบหมายงานสำคัญจากราชสำนัก ต้องเร่งควบม้าขึ้นเหนือ เจ้าหน้าที่ประจำจุดพักม้ารู้สึกว่าคนผู้นี้อายุน้อยไปหน่อยก็จริง ทว่าบุคลิกมีสง่าราศี ซ้ำตราประทับในหนังสือก็ถูกต้องทุกประการ ไม่มีทางปลอมแปลงขึ้นมาได้ จึงคิดว่าเป็นคนที่ราชสำนักส่งมาทำภารกิจลับจริงๆ และไม่กล้าถามซอกแซก ได้แต่รีบจัดเสบียงและเปลี่ยนม้าฝีเท้าเยี่ยมให้ตามคำขอ แล้วส่งเด็กหนุ่มจากไป
สุดท้ายหลิวเซี่ยงบอกว่ารูปร่างหน้าตาตามคำบรรยายของเด็กหนุ่มที่เดินทางขึ้นเหนือคนนั้นตรงกับฮ่องเต้น้อยจริงๆ
ซู่เซิ่นฮุยตั้งสติแล้วออกจากวังหลวงไปจวนเสียนอ๋องโดยไม่รอช้า
เขากลับเข้าวังหลวงอีกครั้งในครึ่งคืนหลัง ตระเตรียมการเล็กน้อย จากนั้นในยามโฉ่วก็นำผู้ติดตามควบม้าออกจากวังหลวงโดยไม่หยุดพัก ย่ำแสงจันทร์มุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มความเร็ว
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 2567)