บทที่ 8
ด่านซีสิงแห่งเมืองเยี่ยนเหมิน เดือนสิบเอ็ด หญ้าแห้งลู่ลมดังแซ่กซ่า
เดือนกว่าแล้วที่บุตรสาวของเขาทิ้งประโยคสั้นๆ ไว้แล้วหายตัวไปจนถึงตอนนี้ สำหรับเจียงจู่วั่งแล้วแต่ละวันที่ผ่านไปยาวนานดุจแรมปี
เมืองอวิ๋นลั่วตั้งอยู่สุดขอบตะวันตก ระยะทางจากที่นี่ไม่นับว่าใกล้ จึงยังไม่มีข่าวคราวจากฝานจิ้ง แต่ที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจยิ่งกว่านั้นคือเสียนอ๋องที่ถูกเขาส่งให้ไปพักอยู่ในเมืองโดยอ้างว่า ‘กระโจมในค่ายไม่อาจต้านความเหน็บหนาวยามรัตติกาล’ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกลับเมืองหลวง ซ้ำยังให้คนมาถามความคืบหน้าเป็นระยะ
ก่อนหน้านี้เขาให้เหตุผลว่าบุตรสาวยังไม่กลับจากเดินทางไปไหว้หลุมศพผู้เป็นตาในโอกาสครบรอบปี แต่ละครั้งจะอ้างว่าหนทางห่างไกล ทั้งข่าวทั้งคนกว่าจะไปกว่าจะกลับต้องใช้เวลา ส่วนเมืองที่เสียนอ๋องพักอยู่นั้น เขาหลบเลี่ยงไม่ยอมย่างกรายไปใกล้ เพราะกลัวว่าหากฝ่ายตรงข้ามรู้จะถูกเอาเรื่อง
วันนี้ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจ พลทหารได้เข้ามารายงานว่าในที่สุดฝานจิ้งก็กลับมาแล้ว
น่าเสียดาย ข่าวที่ฝานจิ้งนำกลับมาด้วยทำให้เจียงจู่วั่งผิดหวังอย่างรุนแรง
แม่ทัพหญิงไม่ได้อยู่ในเมืองอวิ๋นลั่ว ตามที่น้าชายเจ้าตัวบอก…นางไม่ได้ไปที่นั่นเลยด้วยซ้ำ
หลังช่วงสั้นๆ แห่งความผิดหวัง สิ่งที่ตามมาคือความห่วงใยอันเข้มข้น
บุตรสาวเขาพูดเป็นช้า หลังจากพูดได้ นับแต่เด็กจนโตแม้จะมีนิสัยเงียบขรึมไม่ช่างจำนรรจา แต่ก็สุขุมอย่างยิ่ง ไม่เคยไปที่ใดโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้สักครั้ง ก่อนไปนางทิ้งข้อความไว้ก็จริง ทว่าจะให้เจียงจู่วั่งสบายใจอย่างไรไหว
เมื่อฟังฝานจิ้งรายงานความเป็นไปจบ แม่ทัพใหญ่ก็เอาแต่ขมวดคิ้วยืนนิ่งกลางกระโจม ไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน
ฝานจิ้งรู้สึกผิดยิ่งยวด “ผู้น้อยด้อยความสามารถ ตามหาท่านแม่ทัพไม่พบ แต่ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าได้วิตกกังวลไปขอรับ ผู้น้อยจะนำกำลังคนไปหาที่อื่นเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่ถูกเจียงจู่วั่งปรามไว้
“ช่างเถิด นางสุขุมเยือกเย็นมาตั้งแต่เด็ก มีเรื่องในใจก็ไม่ยอมพูดให้ใครฟัง ถึงข้าจะเป็นบิดาก็ยังไม่รู้เลยว่าใจนางคิดอย่างไรกันแน่ ในเมื่อไม่ได้อยู่ที่อวิ๋นลั่ว แดนเหนือกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เจ้าตามหาอย่างไร้จุดหมายจะไปเจอนางได้ที่ใด”
“แต่…”
แม่ทัพใหญ่โบกมือ “นางมีความคิดเป็นของตนเองตั้งแต่เล็ก ในเมื่อทิ้งข้อความเตือนแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก ทำตามความประสงค์ของนางแล้วกัน ไม่ว่านางต้องการไปทำอะไร เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะกลับมาเอง” พูดจบก็มองฝานจิ้ง “เจ้าเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนคงเหนื่อยแย่ ไปพักผ่อนเถิด…”
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่! เสนาบดีสำนักกิจการราชวงศ์ พระพันปี! เสียน! อ๋อง! เสด็จ…”
เจียงจู่วั่งพูดยังไม่ทันขาดคำ หยางหู่ที่อยู่ข้างนอกก็พลันลากเสียงรายงานซึ่งฟังดูเหมือนแผดเสียงตะโกนมากกว่า แน่นอนว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนคนในกระโจมใหญ่ให้รู้ตัวว่าแขกไม่ได้รับเชิญมาถึงด้านนอกแล้ว
ฝานจิ้งหันไปมอง เจียงจู่วั่งรีบพยักพเยิดให้หลบออกไปก่อน อีกฝ่ายเข้าใจดี รีบออกจากกระโจมอย่างไม่รอช้า
เจียงจู่วั่งเดินลิ่วๆ ออกไปข้างนอก แล้วเห็นหยางหู่ประคองชายชราคนหนึ่งเดินมาทางนี้ได้แต่ไกล ชายชราผู้นั้นไว้เครายาวพลิ้ว กำลังก้าวเท้ารีบเร่งตรงมายังกระโจมใหญ่ทั้งที่ดูกระย่องกระแย่งเต็มที
“เจ้าคือเจ้าหนูเจ็ดจากสกุลหยางของอันอู่จวิ้นกงสินะ จำได้ว่าสมัยเด็กๆ เจ้าเคยตามพ่อเจ้ามากินเลี้ยงเทศกาลฉงหยาง* ที่จวนข้าอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าเห็นเจ้าดูเป็นเด็กซื่อๆ ร่างกายแข็งแรง ท่าทางฉลาดเฉลียว เลยให้เจ้าท่องโคลงกลอนให้ฟัง เจ้าก็ท่องอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นหน้าแค่ไม่กี่ปี เหตุใดตอนนี้เสียงถึงดังนัก เบาหน่อยๆ หูข้าจะหนวกเพราะเจ้าอยู่แล้ว…”
ชายชราที่กำลังขมวดคิ้วพูดอยู่นี้คือเสียนอ๋องซู่อวิ้นนั่นเอง