ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 7-8
หยางหู่ระลึกความหลังแล้วยังแค้นไม่หาย เขาเสียหน้าเพราะท่องกลอนท่ามกลางธารกำนัลไม่ออก กลับถึงบ้านจึงถูกผู้อาวุโสตีเสียก้นลาย
“ทูลพระพันปี อยู่ในค่ายทหารต้องพูดเสียงดังเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ อย่างกระหม่อมถือว่าสุภาพแล้ว! หาไม่เวลายกทัพทำสงครามระหว่างรบกับข้าศึกจะไม่ได้ยินว่าคนฝ่ายตนเองตะโกนว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! พระ! พัน! ปี!“
เขาจงใจยิ้มระรื่นพลางชะโงกหน้าเข้าไปตะโกนเสียงดังลั่นใกล้ๆ
“โอย! เจ้าเด็กนี่ ข้าว่าเจ้าจงใจทำให้ข้าหูหนวกเสียมากกว่ากระมัง!”
“ต่อให้กระหม่อมกล้ากว่านี้เป็นร้อยเท่าก็ไม่บังอาจหรอกพ่ะย่ะค่ะ! พระพันปีทรงปรักปรำกระหม่อมเสียแล้ว…”
หนึ่งคนเฒ่าหนึ่งคนหนุ่มโต้ตอบกันคนละที ฟังดูราวกับปะทะฝีปากกันอย่างไรอย่างนั้น
เจียงจู่วั่งรีบรุดมาต้อนรับ สะกดความกลัดกลุ้มไว้ในอกแล้วออกตัวว่า “ค่ายใหญ่อยู่ไกลจากตัวเมืองหลายสิบหลี่ หากมีเรื่องอันใด เหตุใดพระพันปีจึงไม่ให้คนมาแจ้ง กระหม่อมไปเข้าเฝ้าในเมืองก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไหนเลยจะรบกวนให้พระพันปีทรงเหน็ดเหนื่อยเสด็จมาถึงที่นี่ด้วยพระองค์เอง”
นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาทแต่อย่างใด
ซู่อวิ้นอยู่ในฐานะสูงส่ง เป็นโอรสที่เกิดจากชายาเอกขององค์เกาจู่ พี่ชายร่วมอุทรของฮ่องเต้เซิ่งอู่ แรกเริ่มเดิมทีองค์เกาจู่ประสงค์จะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท แต่ซู่อวิ้นเล็งเห็นว่าศัตรูอันแข็งแกร่งยังมีจำนวนมากล้น ต้าเว่ยจำต้องมีรัชทายาทที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ ทว่าความสามารถของตนอยู่ในระดับธรรมดา เทียบไม่ได้กับน้องชายร่วมอุทร จึงยืนกรานไม่รับตำแหน่งรัชทายาท เมื่อฮ่องเต้เซิ่งอู่สืบราชสมบัติก็ดีต่อพี่ชายคนนี้เป็นอันมาก แต่งตั้งให้เป็นพระหมื่นปีเสมอกัน แต่ซู่อวิ้นไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายรับไว้แค่เพียงบรรดาศักดิ์เสียนอ๋อง ซึ่งก็สมกับนิสัยใจคอของเจ้าตัว…ทรงคุณธรรม รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความโอบอ้อมอารีทำให้ซู่อวิ้นเป็นที่เคารพยกย่องของเหล่าขุนนาง ใครต่อใครต่างเรียกขานว่า ‘พระพันปี’ ในสมัยฮ่องเต้หมิงตี้ ซู่อวิ้นก็ได้รับพระราชทานเก้าอี้ให้นั่งต่างหากเวลาเข้าประชุมราชสำนัก แม้แต่เกาอ๋องซู่ฮุยผู้เรืองอำนาจยังไม่กล้าเสียมารยาทกับพี่ชายต่างมารดาผู้นี้
เท่านั้นยังพอทำเนา ปัญหาคือซู่อวิ้นอายุมากแล้ว กระทั่งเดินยังต้องมีคนช่วยประคอง หนทางมาชายแดนเหนือก็มีแต่ถนนขรุขระ ต้องนั่งหัวสั่นหัวคลอนในรถม้า ปะเหมาะเคราะห์ร้ายเกิดเอวเดาะหรือข้อเข่าหลุดระหว่างทาง ใครก็รับผิดชอบไม่ไหว
“ท่านแม่ทัพใหญ่มีงานในค่ายรัดตัว ไม่เห็นท่านเข้าเมืองหลายวันแล้ว ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ วันนี้จึงมาเยือนด้วยตนเอง หากเผลอรบกวนท่านแม่ทัพใหญ่เข้าก็โปรดอย่าได้ถือสา” ซู่อวิ้นยิ้มละไม
“กระหม่อมมิบังอาจ”
เจียงจู่วั่งรับช่วงต่อจากหยางหู่ ทำท่าจะประคองชายชราเข้าไปในกระโจมใหญ่
“ไม่ต้องๆ เห็นแก่ๆ เช่นนี้ แต่ข้ายังแข็งแรงดี! เดินเองได้ ไม่ต้องให้ท่านแม่ทัพใหญ่ประคองหรอก!”
ซู่อวิ้นดันมือเจียงจู่วั่งที่ยื่นมาหาตนเองออกไป เจียงจู่วั่งเลยได้แต่คอยอารักขาอยู่ข้างหลังอย่างระมัดระวัง พอเข้าไปในกระโจมก็เชื้อเชิญอย่างนอบน้อมให้อาคันตุกะนั่งตรงกลางสุด
เสียนอ๋องปฏิเสธ “ที่นั่งผู้บัญชาการในกระโจมใหญ่ ข้าไหนเลยจะนั่งได้ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเสด็จด้วยพระองค์เองก็ยังแย่งนั่งไม่ได้”
เจียงจู่วั่งเลยได้แต่สั่งให้คนจัดที่นั่งใหม่ให้พระพันปี พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วซู่อวิ้นก็มองออกไปนอกกระโจม “เมื่อครู่ตอนมาถึงประตูค่ายข้าได้ยินพลทหารพูดว่าแม่ทัพฝานที่อยู่ในสังกัดแม่ทัพใหญ่เพิ่งกลับถึงค่ายวันนี้ พอเข้ามาในค่ายก็เห็นได้ไวๆ ว่ามีแม่ทัพนายหนึ่งเดินออกจากกระโจมท่าน หนวดเคราเต็มหน้า รูปร่างกำยำล่ำสัน ท่าทางเหี้ยมหาญชาญชัยมิมีใครเทียบ อยากจะเพ่งมองให้ชัดๆ ก็เกิดตาฝ้าฟางขึ้นมา พริบตาเดียวเขาก็หายไปเสียแล้ว ไม่ทราบว่าแม่ทัพนายนั้นชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร ดำรงตำแหน่งอะไรกัน”
ไม่คิดเลยว่าซู่อวิ้นจะร้ายไม่เบา อยู่ตั้งไกลถึงเพียงนั้นยังอุตส่าห์เห็น เจียงจู่วั่งได้แต่ตอบกลับไปว่า “น่าจะเป็นแม่ทัพฝานนั่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ซู่อวิ้นตาเป็นประกาย “หรือแม่ทัพหญิงจะกลับมาด้วยกันกับเขา”
“แม่ทัพฝานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาบุตรสาวกระหม่อมจริงๆ แต่ครานี้เขาออกเดินทางเพราะมีภารกิจสำคัญ ไม่เกี่ยวกับนาง ทางบุตรสาวกระหม่อมนั้นไม่กี่วันก่อนกระหม่อมก็ได้ส่งความคืบหน้าไปทูลให้ท่านอ๋องทรงทราบแล้วว่านางยังไม่กลับ ไว้นางกลับมาเมื่อไร กระหม่อมจะรีบส่งคนไปกราบทูลทันที!”
ซู่อวิ้นเผยสีหน้าผิดหวัง ลูบเคราพลางพยักหน้าน้อยๆ “อย่างนี้นี่เอง ข้านึกว่าแม่ทัพหญิงกลับมาแล้วเสียอีก”
เจียงจู่วั่งเอ่ยขอขมา บอกว่าจังหวะเวลาไม่ตรงกัน ทำให้อีกฝ่ายต้องรอนาน
ซู่อวิ้นตอบว่าไม่เป็นไร “ขนาดข้าอยู่ในเมืองหลวงยังได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพหญิงมานานแล้ว เมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการอยากสู่ขอนางมาเป็นชายา ข้าจึงออกอาสามาเจรจาให้ นอกจากจะช่วยแสดงไมตรีแทนอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว ข้าก็ยังมีความต้องการส่วนตัว นั่นคืออยากเห็นหน้าบุตรสาวสุดที่รักของท่านแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชสำนักให้เร็วกว่าผู้อื่นเขา! แต่ดันมาไม่ถูกจังหวะอย่างที่ท่านว่า น่าเสียดายยิ่งนัก กระนั้นระหว่างพักอยู่ในเมืองช่วงที่ผ่านมาข้าก็ยังได้ยินชื่อเสียงการทำศึกอย่างกล้าหาญของแม่ทัพหญิงมาหนาหู จำได้ว่าหลายปีก่อนพื้นที่แถบที่ราบชิงมู่ยังอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวตี๋ ก็เป็นแม่ทัพหญิงนี่ล่ะที่ยกทัพไปช่วงชิงกลับคืนมา แล้วสร้างค่ายขึ้นที่นั่น ตรึงกำลังทหารไว้ด้วยตนเอง แนวป้องกันทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกจึงได้เชื่อมถึงกันตลอด พอพูดถึงแม่ทัพหญิงคราใด ชาวบ้านในเมืองล้วนแต่เลื่อมใสศรัทธานางกันทุกครั้ง ครานี้ต้องเดินทางรอนแรมไกลอยู่สักหน่อย แต่ก็นับว่าไม่เสียเที่ยว!”
เจียงจู่วั่งไหนเลยจะมีอารมณ์มาฟังซู่อวิ้นพล่ามพูดเรื่องพวกนี้ อยากเชิญผู้สูงศักดิ์ตรงหน้ากลับไปเต็มที จึงได้แต่เออออไปตามเรื่องพร้อมถ่อมตัวแทนบุตรสาว จากนั้นก็มองออกไปนอกกระโจม
“พระพันปีทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว แถบชายแดนไม่เหมือนกับเมืองหลวง ฤดูนี้ฟ้ามืดเร็วนัก พอตกกลางคืนอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับ หนาวเหน็บไม่แพ้ฤดูเหมันต์เลยทีเดียว กระโจมในค่ายลมลอดเข้าได้ ไม่อบอุ่น พระวรกายพระพันปีสำคัญถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างไรกระหม่อมจะส่งเสด็จกลับเข้าเมืองก่อนค่ำดีกว่า พระพันปีจะได้ไม่ทรงหนาว”
ซู่อวิ้นหัวเราะ “ดูท่าวันนี้ข้าจะมาไม่ถูกจังหวะ เลยรบกวนท่านแม่ทัพใหญ่เข้าเสียแล้ว นี่คือคำสั่งไล่แขกของท่านสินะ”
แน่นอนว่าเจียงจู่วั่งรีบปฏิเสธแทบไม่ทัน
สีหน้าของเสียนอ๋องจริงจังขึ้น “เอาเถิด ที่ข้ามาเพราะมีเรื่องอยากแจ้งให้ท่านแม่ทัพใหญ่ทราบ วันนี้ข้าเพิ่งได้รับข่าวด่วนจากเมืองหลวง…” หลังเว้นจังหวะเล็กน้อยเขาก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดพูดต่อขรึมๆ “สมุหกลาโหมเกาอ๋องล้มป่วยจนสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าจำต้องกลับเมืองหลวงโดยด่วน”
แม่ทัพใหญ่ตกตะลึงพรึงเพริด