จริงอยู่ว่าเกาอ๋องซู่ฮุยอายุกว่าครึ่งร้อย แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยกำลังวังชา ได้ยินว่าเรือนหลังของจวนอ๋องเลี้ยงหญิงงามไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน บรรเลงดนตรีครื้นเครงทุกค่ำคืน คิดไม่ถึงเลยว่าแค่เกิดป่วยขึ้นมาปุบปับจะตายไปง่ายๆ เช่นนี้
ท่ามกลางความตื่นตกใจ ความคิดของเขาพลันโยงไปหาเรื่องหนึ่ง แล้วให้ใจเต้นแรงรัว เหงื่อเย็นซึมแผ่นหลังด้วยความพรั่นพรึง
เจียงจู่วั่งนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น
ซู่อวิ้นกล่าวต่อไปว่า “เมื่อแรกตั้งใจจะรอเจอแม่ทัพหญิงก่อนแล้วค่อยกลับ ตอนนี้ดูท่าคงรอไม่ไหว ต้องกลับไปก่อนเสียแล้ว แต่ข้าคิดว่าเรื่องการสู่ขอของอ๋องผู้สำเร็จราชการนั้นท่านแม่ทัพใหญ่เหมือนจะเห็นชอบ ทว่าก็ไม่ได้ตอบตกลงให้ชัดเจนเสียที หากกลับไปทั้งอย่างนี้ข้าจะอธิบายกับอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ถูก”
ดวงตาฝ้าฟางมองคู่สนทนาเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ “ว่าอย่างไร ที่ข้าเรียนถามไปวันนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ใคร่ครวญดีแล้วหรือยัง อ๋องผู้สำเร็จราชการอยากสู่ขอบุตรสาวของท่านจากใจจริง ผู้อาวุโสในราชวงศ์เช่นข้าก็เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างยิ่ง”
เขาปรบมือเบาๆ ผู้ติดตามสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอก คนหนึ่งประคองกล่องยาวด้วยมือทั้งสองข้าง อีกคนค่อยๆ เปิดฝากล่องออกอย่างระมัดระวัง
ดาบสั้นทรงโค้งดุจวงเดือนยาวประมาณหนึ่งฉื่อนอนนิ่งอยู่ในกล่อง มีห่วงอยู่ตรงด้ามดาบ ฝักดาบหุ้มหนังแรด พันทับด้วยเส้นไหมสีดำฝังอัญมณี ทุกองค์ประกอบดูโบราณ เรียบง่าย กะทัดรัด ทว่ายังคงความงามหรูไปพร้อมกัน
เสียนอ๋องหันไปมองแม่ทัพใหญ่ยิ้มๆ “ดาบเล่มนี้ช่างชั้นครูทำขึ้นด้วยวิธีโบราณ ชุบน้ำจากแม่น้ำชิงจาง หลอมตีเป็นร้อยครั้งกว่าจะได้เป็นดาบ วาววับดุจดาวจรัส คมกริบชนิดตัดเส้นขนได้ เดิมทีเป็นดาบประจำพระองค์ของฮ่องเต้เซิ่งอู่ ติดตามพระองค์ออกศึกทั่วทุกสารทิศ ต่อมาได้ถูกพระราชทานให้อันเล่ออ๋องที่ในเวลานั้นยังอายุไม่ครบสิบสี่ ดาบเล่มนี้อยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการมาหลายปีแล้ว เป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับเขา ครานี้เขายินดีใช้มันเป็นของแทนตัวเพื่อแสดงความจริงใจ…
ความจริงไม่ควรนำสิ่งที่เคยดื่มเลือดมานักต่อนักอย่างอาวุธมาเจรจาสู่ขอ แต่แม่ทัพหญิงหาใช่สตรีธรรมดาทั่วไป อ๋องผู้สำเร็จราชการมองว่าต้องใช้ของดีที่สุดที่มีเป็นของแทนตัวเท่านั้น ถึงจะสมศักดิ์ศรีแม่ทัพหญิง หากท่านแม่ทัพใหญ่เห็นชอบ ข้าก็จะขอเป็นตัวแทนอ๋องผู้สำเร็จราชการมอบดาบวงเดือนเล่มนี้ไว้ให้ แล้วกลับไปบอกกล่าวความเป็นไปแก่อ๋องผู้สำเร็จราชการ”
เจียงจู่วั่งตอบไม่ออกอยู่นาน สุดท้ายก็ค่อยๆ คุกเข่าให้ดาบสั้นเล่มนั้น “กระหม่อมซาบซึ้งตื้นตันในไมตรีของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นล้นพ้น เพียงแต่…บุตรสาวกระหม่อมเติบโตอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่จะมีนิสัยทื่อๆ กิริยายังกระโดกกระเดกไม่ต่างจากบุรุษ กระหม่อม…กระหม่อมกลัวเหลือเกินว่าหานหยวนจะรับตำแหน่งชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ไหว…”
ซู่อวิ้นมองเขานิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหาย ก่อนจะกระแอมทีหนึ่ง “ท่านแม่ทัพใหญ่กำลังดูหมิ่นอ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่หรือ” มีความกดดันอยู่ในน้ำเสียง
เจียงจู่วั่งเหงื่อตก กลั้นใจตอบกลับไปเบาๆ ว่า “กระหม่อมมิบังอาจ…กระหม่อมมิบังอาจ! พระพันปีโปรดประทานอภัยด้วย! แค่…”
แค่…เขาไม่รู้เช่นกันว่าตนเองควรพูดอะไร ระหว่างกำลังว้าวุ่นใจก็ได้ยินเสียนอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น “ช่างเถิด หัวอกคนเป็นพ่อจะคิดหนักเรื่องคู่ครองลูกก็สมควรแล้ว ข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ยังมีเวลาอีกหนึ่งคืน ท่านแม่ทัพใหญ่ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบข้าก็ได้!”
เจียงจู่วั่งออกไปส่งแขก
ม่านราตรีโรยตัว เจียงจู่วั่งนั่งอยู่ในกระโจมตามลำพัง มองดาบวงเดือนที่เสียนอ๋องวางทิ้งไว้ไม่ได้นำกลับไปด้วย
ตัวดาบส่องประกายเย็นเยียบ
ลมเหนือปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดหวีดหวิวในอากาศเหนือทุ่งเวิ้งว้างตรงชายแดนทั้งคืน จวบจนใกล้รุ่งถึงค่อยสงบลงทีละน้อย
แสงตะเกียงในกระโจมใหญ่ก็ส่องสว่างทั้งคืนเช่นกัน
เจียงจู่วั่งนอนไม่หลับ ซู่อวิ้นกำลังรอคำตอบ เขารู้ว่าตนเองต้องตัดสินใจแล้ว
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจครั้งสุดท้าย
แม่ทัพใหญ่ผลุนผลันลุกขึ้นคว้าดาบวงเดือนก้าวฉับๆ ออกจากกระโจม เดินไปทางประตูค่าย
ยามรุ่งสางต้นฤดูเหมันต์ทางเหนือรัตติกาลยังย้อมสีนภาเหนือศีรษะอย่างเข้มข้น เสียงแตรเขาสัตว์ที่ปลุกพลทหารให้ตื่นมาฝึกซ้อมช่วงเช้ายังไม่ดัง
เขามองออกไปนอกประตูค่าย ยืนรับลมตอนเช้าตรู่ รับม้าที่ทหารคนสนิทจูงมาให้ หมายใจจะขี่ม้าเข้าเมือง ทว่าในจังหวะที่กำลังจะขึ้นม้าก็พลันเห็นร่างหนึ่งขี่อาชามาแต่ไกล
เจียงจู่วั่งหยุดชะงักพลางเขม้นมองไป
ร่างนั้นใกล้เข้ามาทุกที จนมองออกว่าเป็นเจียงหานหยวน! บุตรสาวที่หายเงียบไร้ข่าวคราวของตนนั่นเอง
เจียงหานหยวนควบม้ามาจนถึงประตูค่ายก็พลิกตัวลงมาก่อนสาวเท้ายาวๆ ไปหยุดตรงหน้าบิดา
นางแต่งกายทะมัดทะแมงเยี่ยงคนเดินทาง เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่น ใบหน้ามีน้ำค้างแข็งที่ถูกสายลมราตรีพัดมาเคลือบบางๆ บ่งบอกว่าอาบลมห่มจันทร์เร่งเดินทางในยามวิกาลจนกลับมาถึงที่นี่
สีหน้าปรีดาในแวบแรกจางหายกลายเป็นความขุ่นขึ้ง เจียงจู่วั่งจ้องมองบุตรสาวโดยไม่ได้พูดอะไรทันที
“แต่งงาน…ได้”
นางมองบิดาแล้วเอ่ยออกมาสั้นๆ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 2567)