ทีแรกเกาเฮ่อไม่หวั่นเกรงเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง แม้ว่าเมื่อครู่อยู่ๆ ซู่เซิ่นฮุยจะรื้อฟื้นเหตุลอบสังหารเมื่อปีกลายขึ้นมาเอาผิดกับเขา เขาก็ไม่กังวลเท่าใดนัก
เพราะตอนนี้เขารู้เจตนาของฮ่องเต้น้อยแล้ว ซู่เซิ่นฮุยยังจะทำอะไรเขาได้
แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นจิตสังหารในแววตาคนที่ถือกระบี่ตรงเข้ามาหา หลังความตื่นตระหนกผ่านพ้นเขาก็สะท้านเฮือก ความหวาดกลัวสุดขีดพุ่งจากใต้ฝ่าเท้าขึ้นมาแผ่ลามไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว
เหตุไฉนเขาจึงเลอะเลือนเพียงนี้!
คนที่อยู่ตรงหน้าคือโอรสของฮ่องเต้เซิ่งอู่!
ภายใต้ภาพลักษณ์สุขุมนุ่มนวลนี้ หากไม่มีเนื้อแท้อันเฉียบขาดดุดันของฮ่องเต้เซิ่งอู่แฝงอยู่ มีหรือจะสามารถกำจัดเกาอ๋องและนำพาราชสำนักดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน!
พริบตานี้เองที่เสนาบดีกรมทหารได้ตระหนัก
ชายหนุ่มไม่คิดจะรอเล่นงานเขาหลังจบเรื่อง
แต่จะฆ่าเขาตรงๆ ต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนัก!
เกาเฮ่อสะดุ้งวาบในใจ สัญชาตญาณแม่ทัพเก่าทำให้เขาเอื้อมมือไปหาเอวทันที ต่อเมื่อคว้าได้เพียงความว่างเปล่าถึงเพิ่งนึกได้ว่าตนไม่มีอาวุธติดตัว
ก่อนเข้าร่วมประชุมราชสำนักในตำหนัก ขุนนางใหญ่ทุกคนจะต้องให้เจ้าหน้าที่วังหลวงค้นตัวอย่างเคร่งครัดตามกฎ ห้ามพกของมีคมใดๆ เข้ามาข้างในเป็นอันขาด
“เจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทหรือไรกัน” เกาเฮ่อหันไปหาฮ่องเต้น้อย “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ทรงมีรับสั่งเลิกการประชุมราชสำนักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาถอยกรูดไปข้างหลังพลางตะโกนบอกฮ่องเต้น้อยเสียงดังลั่น แต่เวลานี้ภายในตำหนักตกอยู่ในความสับสนอลหม่านเรียบร้อยแล้ว คนรอบตัวเขาพากันถอยหนีจ้าละหวั่น ไม่เว้นแม้แต่ขุนนางที่ช่วยแก้ต่างแทนเขาเมื่อครู่ กลุ่มทหารองครักษ์หน้าตำหนักได้สติ รีบวิ่งกรูเข้ามาล้อมฮ่องเต้น้อยไว้ตรงกลาง
ซู่เซิ่นฮุยเหมือนมองไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว ยังคงสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปหาเกาเฮ่อพลางตวาดเสียงกร้าว “ข้าเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งก่อนเสด็จสวรรคต แต่โจรกบฏเยี่ยงเจ้ากลับวางแผนลอบสังหารข้า! ไม่เพียงเท่านั้นเจ้ายังหลอกลวงเบื้องสูง ภายนอกแสร้งทำเป็นออกจากราชสำนัก แต่แท้ที่จริงลอบหาสมัครพรรคพวก แบ่งฝักฝ่าย ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าแฝงเจตนาโฉดช้าอันใดไว้ ที่เลวร้ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือเวลานี้ต้าเว่ยเปิดศึกอันเป็นสงครามที่เริ่มเตรียมการมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เซิ่งอู่ เจ้ากลับเป็นตัวตั้งตัวตีโน้มน้าวผู้คนให้ไขว้เขว สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด ปล่อยคนโฉดช้าสามานย์เยี่ยงเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์!”
เวลานี้จย่าซิวนำคนที่ให้ซุ่มรออยู่นอกตำหนักในตอนแรกวิ่งเข้ามาแล้ว
ซู่เซิ่นฮุยชะงักเท้า หันไปตวาด “ผู้ใดกล้าขวางข้า!”
สีหน้าของเขาเฉียบขาด ดวงตาวาววับน่ากลัว เสียงตวาดทรงอำนาจชวนสะท้านดุจสายฟ้า ส่งกังวานก้องสะท้อนไปตามมุมต่างๆ ของตำหนัก
จย่าซิวกับทหารจากกองทหารรักษาพระองค์หยุดชะงักในบัดดลเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ ไม่มีใครอาจหาญเข้าไป ได้แต่ทำตาปริบๆ มองเขาถือกระบี่เดินไปหยุดลงตรงหน้าเสนาบดีกรมทหาร
เกาเฮ่อขนหัวลุก ถูกไล่ฟันจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ต้องอาศัยชั้นเชิงยุทธ์ของทหารเก่าที่มีถึงหลบพ้นอย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นจากพื้น หมายจะพุ่งไปทางฐานบัลลังก์ที่ฮ่องเต้น้อยนั่งอยู่เพื่อแย่งดาบจากองครักษ์
แต่แล้วในพริบตานั้นเองเขาก็ถูกสกัดทางไว้
กระบี่แหลมคมเล่มนั้นพุ่งปราดราวกับอสรพิษเข้ามาหาลำคอ
เลือดทั้งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง เกาเฮ่อเหลือบตาขึ้นสบประสานสายตาเย็นเยียบที่มองมาจากตรงหน้า
ชั่วขณะจิตนั้นเมื่อเขาได้ประจันหน้ากับโอรสของฮ่องเต้เซิ่งอู่ผู้นี้ในระยะประชิด ใกล้จนมองเห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตาอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาถึงเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้
วันนี้บุรุษตรงหน้าจะฆ่าเขาให้ทุกคนเห็น ใช้พระเดชสยบราชสำนักไม่ให้ผู้อื่นกล้ากำแหงเป็นปรปักษ์กับตนอีก
แต่กว่าจะเข้าใจก็สายเกินไป