ไอเย็นเยือกของความตายแผ่ออกจากลำคอที่ถูกปลายกระบี่จ่อ ขยายไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว
“หยุดนะ!”
ในจังหวะที่เขารู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวและสิ้นหวังสุดกู่ โอกาสแห่งชีวิตก็พลันกลับมาอีกครั้ง!
เสียงตวาดแหลมสูงดังเข้าหู เขาเห็นได้จากหางตาว่าหลี่ไท่เฟยพรวดพราดเข้ามาในตำหนักเซวียนเจิ้งโดยมีหลันไทเฮาช่วยประคอง สองตาของนางถลึงกว้าง ปากแผดเสียงดังลั่น “ข้ามีพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้! ฉีอ๋องซู่เซิ่นฮุยอาศัยอำนาจในตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการหลอกลวงฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์หมายจะขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง ผิดต่อหน้าที่ที่อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝังไว้ก่อนเสด็จสวรรคต ให้ลงโทษประหารชีวิต! ทหาร! ฆ่ามัน…”
เสียงแผดตะโกนของหลี่ไท่เฟยดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง เกาเฮ่อรู้สึกมีความหวังว่าจะรอดชีวิต แต่แล้วทันใดนั้นเองเส้นแสงสีขาวก็ตวัดผ่านหน้าไปในพริบตา
นอกจากลำคอที่เย็นวาบก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใด เขารับรู้ได้ว่าศีรษะตนเองโยกไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ สองตามองเห็นว่าอยู่ๆ โลกก็หมุนกลับหัว พื้นตำหนักพลันเลื่อนเข้ามาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ประสาทรับรู้เสี้ยวสุดท้ายที่เหลือในสมองทำให้เขาสัมผัสได้ว่าตนเองร่วงลงไปกระแทกพื้นโดยแรง จากนั้นสีแดงฉานเข้มข้นที่ไหลเนืองนองก็ปรากฏสู่สายตา
หัวตกลงบนพื้น
ซู่เซิ่นฮุยเก็บกระบี่กลับมา
เขาใช้กระบี่ตัดหัวเกาเฮ่อ เสนาบดีกรมทหารคนปัจจุบันในฉับเดียว
เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอไร้หัวของศพที่ยังยืนอยู่ สาดกระเซ็นเต็มพื้น ร่างของเกาเฮ่อโงนเงนอยู่ไม่กี่ทีก็เอนเอียงจนล้มลงกระแทกพื้นในท้ายที่สุด หัวที่ถูกตัดขาดกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นเรียบเกลี้ยงเป็นมันเงาของตำหนัก ลากรอยเลือดสีแดงฉานเป็นทางยาว จนไปหยุดลงตรงปลายเท้าขุนนางคนหนึ่ง
คนทั้งตำหนักหน้าถอดสี ขุนนางผู้โชคร้ายผู้นั้นหน้าซีดเผือด ตะลีตะลานถอยหลังกรูดพร้อมกับคนรอบตัวอย่างหวาดกลัวสุดชีวิต แล้วดันเกิดสะดุดขากันเองจนล้มระเนระนาดก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นไปหลายคน
หลันไทเฮาหวีดร้องสุดเสียง จากนั้นก็ทรงตัวยืนไม่อยู่ หมดสติทรุดฮวบ
หลี่ไท่เฟยได้สติจากความตื่นตระหนกพรั่นพรึง หันไปอุทธรณ์กับฮ่องเต้น้อย “ฝ่าบาท! เห็นแล้วหรือไม่! พระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้อยู่ตรงนี้ เหตุใดถึงยังไม่สั่งให้คนฆ่ามันอีก…”
ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยเนิบๆ “ท่านเป็นเจ้าของตำหนักตุนอี้ กลับไปบำรุงวัยอยู่แต่ในตำหนักในเถิด”
หลี่ไท่เฟยยกมือชี้หน้าชายหนุ่ม ทว่ามือสั่นเสียไม่มีดี ทันใดนั้นร่างก็โอนเอนแล้วล้มพับไปกับพื้นอีกคน
ร่างเจ้าเนื้อล้มลงบนพื้น น้ำลายเป็นฟองฟอดไหลออกจากมุมปากช้าๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นถลึงจ้องร่างที่ถือกระบี่ยืนอยู่ตรงหน้า พยายามขยับปากพะเยิบพะยาบอยู่หลายครั้ง แต่นอกจากเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ความแล้วก็เปล่งเสียงอื่นใดไม่ออก
แสงอรุณแดงฉานราวกับเลือดเรืองรองอยู่บนผืนฟ้าด้านนอก
ดวงตะวันสีโลหิตทอรัศมีสาดแสงเข้ามาทางประตูตำหนัก
ชายหนุ่มมีคราบเลือดเปื้อนหน้าเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เต็มไปด้วยพลังของกระบี่คมกริบที่เป็นอิสระจากฝัก
ไม่มีขุนนางคนใดในตำหนักกล้าสบตาด้วย ทุกคนคุกเข่าเรียงราย ตำหนักเซวียนเจิ้งเงียบกริบไร้สรรพเสียง เหลือเพียงเสียงอึ้กๆ อย่างไม่ยอมแพ้ของหลี่ไท่เฟยที่ฟังแล้วเสียวสันหลังวาบ
ซู่เซิ่นฮุยโยนกระบี่ในมือทิ้งดังเคร้ง ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดคราบเลือดบนแก้ม จากนั้นก็หันไปคุกเข่าให้ฮ่องเต้น้อยที่นั่งตะลึงงันเป็นรูปแกะสลักหินอยู่บนบัลลังก์ “กระหม่อมทำให้ฝ่าบาทตกพระทัย กระหม่อมจะขอรับโทษในภายหลัง”
เขาโขกศีรษะคำนับเด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปบอกกลุ่มคนข้างหลัง “วันนี้หมดเรื่องแล้ว เลิกประชุมราชสำนักได้”
น้ำเสียงราบเรียบ พอสิ้นประโยคนั้นก็ไม่มีใครโอ้เอ้อยู่ต่อ
ข้ารับใช้ที่ตามมาจากตำหนักในพาหลี่ไท่เฟยกับหลันไทเฮาออกไป
เสียนอ๋อง ฟางชิง รวมทั้งหลันหรง ทุกคนทยอยกันออกจากตำหนักอย่างเงียบเชียบ
จย่าซิวออกไปเป็นคนสุดท้าย
เขาเห็นฮ่องเต้น้อยไม่แสดงท่าทีใดๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บกระบี่ชุ่มเลือดขึ้นจากพื้นแล้วสั่งให้คนช่วยกันหามศพออกไป
สุดท้ายตำหนักอันโอ่อ่ากว้างใหญ่จึงเหลือเพียงซู่เซิ่นฮุย ซู่เจี่ยน และแสงตะวันที่เอิบอาบสว่างไสวทั่วโถงตำหนัก
ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นอำพรางภายใต้แสงเจิดจรัสของรุ่งอรุณได้เลย
ละอองฝุ่นเหลือคณานับบนโลกนี้คล้ายโลดเต้นกลางลำแสงที่ฉายส่องเข้ามาในตำหนัก
ซู่เซิ่นฮุยทอดสายตาผ่านม่านฝุ่นในแสงเรืองรองไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ฝ่าบาท ระหว่างที่กระหม่อมยืนรออยู่ในนี้ตอนเช้าตรู่ ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ากระหม่อมกลัวอะไรมากที่สุด”
ใบหน้าของซู่เจี่ยนบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาค่อยๆ เหยียดลำคอแข็งเกร็งของตนขึ้นมามองบุรุษที่ยืนประจันหน้ากับตนเองโดยมีลำแสงกั้นขวาง
“กระหม่อมกลัวที่สุดว่าฝ่าบาทจะเลือกหนี ไม่กล้ามาเจอกระหม่อมที่นี่ โชคดีที่สุดท้ายฝ่าบาทยังยอมมาทำสิ่งที่ตนเองควรทำ ไม่ปล่อยให้กระหม่อมผิดหวัง จากนี้ไปกระหม่อม…วางใจได้อย่างแท้จริงแล้ว”
เขาเอ่ยเอื้อนออกมาทีละคำ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)