หากวันนี้เขายังเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีตบตา หลอกฝ่าบาทให้หลงผิดอยู่ยังพอว่า แต่มาถึงขั้นนี้เขาทำกับฝ่าบาทอย่างไรบ้าง ฝ่าบาทยังไม่รู้อีกหรือ เขาประพฤติผิดทำนองคลองธรรมจนถึงขั้นนี้ เคยเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาด้วยหรือ…ก็ไม่ เหตุใดจนป่านนี้ฮ่องเต้ถึงยังไม่ยอมตาสว่างอีก หากยังไม่ลงมือเสียที รอจนเขากำจัดขุนนางผู้จงรักภักดีที่อดีตฮ่องเต้ทิ้งไว้ให้หมดลงเมื่อไร ข้ากลัวว่าฝ่าบาทจะมานึกเสียใจทีหลังก็สายเกินแก้แล้ว!”
สายตาของซู่เจี่ยนจับจ้องอยู่บนใบหน้าฝ่ายตรงข้าม เขาเค้นเสียงถามทีละคำ “เมื่อปีกลายเขาถูกลอบสังหารในคืนแต่งงาน ตอนนี้มาคิดดู คงเป็นความประสงค์ของไท่หวงไท่เฟยด้วยสินะ”
ความจริงหลี่ไท่เฟยอายุยังไม่ถึงห้าสิบ แต่ด้วยรูปร่างอ้วนเผละ ปกติไม่ใคร่เคลื่อนไหวเท่าไร พอยืนพูดยาวเหยียดถึงเพียงนี้อยู่สักพักจึงเริ่มหมดแรงจนหอบหายใจ นางนั่งลงเองช้าๆ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าเป็นคนจัดการเอง เสียดายนักที่ตอนนั้นลงมือไม่สำเร็จ!” ว่าพลางยกมือขึ้นตบที่เท้าแขนเก้าอี้ดังป้าบๆๆ อย่างแค้นใจ
“หากสามารถกำจัดคนโฉดช้าให้ฝ่าบาทสำเร็จเสียตั้งแต่ตอนนั้น มีหรือแผ่นดินและราชสำนักจะยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างทุกวันนี้”
ซู่เจี่ยนเหลือบตามองท้องฟ้าข้างนอกแล้วออกเดินอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร หลี่ไท่เฟยลุกพรวดขึ้นยืนพลางตวาดแหว “ฝ่าบาทลืมพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้แล้วหรือ อดีตฮ่องเต้ทุกข์ใจเพียงไร ฟ้าดินเป็นพยานได้ ฝ่าบาทกล้าขัดพระราชโองการอย่างนั้นหรือ!”
เสียงของนางแหลมคมราวกับลูกศรที่พุ่งเข้าเสียบร่างซู่เจี่ยนจากข้างหลัง ปักตรึงสองเท้าของเขาเอาไว้กับที่
จากที่เดินมาถึงประตูตำหนักบรรทมแล้ว เขาพลันหยุดชะงัก ก้าวขาต่อไม่ออก
“ต่อให้ฝ่าบาทกล่าวโทษข้า ข้าก็ทำได้เพียงยอมรับ บัดนี้เป็นเวลาชี้เป็นชี้ตาย เป็นโอกาสเหมาะให้กำจัดคนโฉดชั่วผู้นี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำ รวมทั้งแผนการในวันนี้ล้วนแต่เป็นคำสั่งก่อนตายของอดีตฮ่องเต้ที่ต้องการปกปักรักษาดินแดนและแคว้นต้าเว่ย ตลอดจนความยิ่งใหญ่ของราชบัลลังก์ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้น้อยยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดทางประตูทักษิณที่อยู่นอกวังหลวง
ทันใดนั้นเสียงขานเค่อยาวเหยียดก็ดังเข้าหู
ในวันที่มีประชุมใหญ่ราชสำนักเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องเวลาในวังหลวงจะส่งเสียงขานเค่อเตือนฮ่องเต้ให้เตรียมตัวตรงเวลา โดยหลังผ่านยามอิ๋นสี่เค่อไปแล้วจะเริ่มขานเวลาทุกๆ หนึ่งเค่อ
กิจวัตรการเดินทางนับแต่ปีใหม่เป็นต้นมาของซู่เซิ่นฮุยเป็นอย่างไร ซู่เจี่ยนย่อมตระหนักดี
เขารู้ว่าเมื่อเสียงขานเค่อครั้งนี้ดังขึ้น เสด็จอาสามผู้นั้นของเขาจะต้องใกล้ถึงประตูทักษิณแล้ว
หากปล่อยไปตามนี้ เมื่อได้เวลาขานเค่อครั้งถัดไป น่ากลัวว่าเสด็จอาสามคงเหลือแต่ศพล้มนอนอยู่บนพื้น ใช้เลือดอาบประตูทักษิณ…
ซู่เจี่ยนสะท้านเฮือก ได้สติกลับมาโดยฉับพลัน
เขากัดฟันเค้นเสียงออกมาทีละคำ “หากต้องลงมือจริง ข้าจะจัดการเอง!” พูดจบก็ทิ้งหลี่ไท่เฟยไว้แล้ววิ่งออกไปข้างนอก ไม่นึกว่าหลันหรงจะยืนอยู่ตรงเชิงบันได ฝ่ายนั้นรีบวิ่งขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ดีๆ เถิด ทรงอย่าวู่วาม! คนของเสนาบดีเกาไปซุ่มรอแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีกแล้วนะ! ต่อให้ฝ่าบาทออกไปสั่งให้หยุดก็ไม่มีทางตบตาเขาได้หรอก มีหรือเขาจะยอมปล่อยไป พวกเราน่ะไม่เท่าไร เพราะทุกคนทำตามพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้เพื่อปกป้องฝ่าบาทเท่านั้น จะมีจุดจบเช่นไรก็สุดแท้แต่สวรรค์จะบัญชา! แต่ฝ่าบาทน่ะไม่ได้เด็ดขาด! เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะต้องเกลียดชังฝ่าบาทเข้ากระดูกดำเป็นแน่ ฝ่าบาทจะพาพระองค์เองไปเสี่ยงไม่ได้เชียวนะ!”
“ขวางเขาไว้! ขวางเขาไว้!”
หลี่ไท่เฟยวิ่งตามออกมาอย่างลนลาน แต่ความเจ้าเนื้อทำให้ลมหายใจหอบกระชั้น สุดท้ายต้องฝืนเกาะประตูตำหนักพยุงตัวหยุดพัก ได้แต่ตะโกนสั่งหลันหรงจนเสียงแตก
ฮ่องเต้น้อยผลักหลันหรงออกจากตัวแล้ววิ่งไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้ยิน ปากก็ตะโกนเรียกจย่าซิวไปด้วย
หลันหรงตะลึงงันด้วยความตกใจ