ตำหนักโอ่อ่าเงียบกริบ มีเพียงเสียงของอ๋องผู้สำเร็จราชการกล่าวต่อไปว่า “ฝ่าบาทน่าจะยังทรงจำได้ ต้นปีที่แล้วกระหม่อมเคยถูกลอบสังหารในคืนแต่งงาน หากตอนนั้นมิใช่ดวงยังไม่ถึงฆาตจนแคล้วคลาดมาได้ กระหม่อมคงตายไปนานแล้ว ในที่สุดกระหม่อมก็ได้สืบจนกระจ่างแล้วว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือใคร…”
ชายหนุ่มนิ่งไป
ราวกับโยนหินลงน้ำ เกิดวงคลื่นกระจายออกมาวงแล้ววงเล่าอย่างนั้น
ไม่มีใครคาดคิดทั้งสิ้นว่าอยู่ๆ เขาจะยกเรื่องที่เกือบถูกผู้คนลืมเลือนไปแล้วขึ้นมาตอนกำลังจะเลิกประชุมราชสำนักในวันนี้
บรรยากาศในตำหนักเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังความประหลาดใจผ่านพ้น ทุกคนในที่นั้นล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ซู่เซิ่นฮุยหมุนตัวมาไล่สายตาไปตามใบหน้าเหล่าขุนนาง แต่ละคนที่สายตาของเขากวาดผ่านต่างอกสั่นขวัญแขวนอย่างห้ามไม่อยู่ เขามองหน้าคนใกล้ตัวทีละคน ก่อนที่สายตาจะหยุดลงบนใบหน้าหลันหรง ฝ่ายนั้นหน้าผิดสี สัมผัสได้ถึงไอชื้นที่ซึมออกมาบนหน้าผาก แต่แล้วเขาก็พลันถอนสายตาไปมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้กันแทน “คนที่วางแผนลอบสังหารกระหม่อมก็คือเสนาบดีกรมทหาร เกาเฮ่อ”
ฮ่องเต้น้อยขยับพรวด แต่เพิ่งจะผละออกจากราชบัลลังก์ก็พลันหยุดชะงักกลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งกลับลงไปใหม่ ทว่าตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขาแม้แต่คนเดียว คนทั้งตำหนักย้ายสายตาจากหลันหรงไปหาเกาเฮ่อกันหมด
ตอนแรกเกาเฮ่อหน้าถอดสีเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเยือกเย็นเป็นปกติ ร้องลั่นว่าถูกปรักปรำ ขอให้ฮ่องเต้น้อยช่วยคืนความเป็นธรรมให้ตน ขุนนางคนหนึ่งที่เป็นผู้จงรักภักดีต่อเขาอย่างยิ่งก็ช่วยพูดเช่นกัน “เสนาบดีเกาเป็นคนสมถะ จิตใจกว้างขวาง มีคุณความดีเป็นที่นับหน้าถือตา ครานั้นท่านอ๋องทรงถูกลอบสังหาร หากทรงประสงค์จะสืบหาตัวคนร้ายก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทรงชี้ชัดเช่นนี้โดยไร้หลักฐาน คงทำให้ผู้อื่นคล้อยตามไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาซู่เซิ่นฮุยฉายแววอำมหิตดุดัน ตวัดมองคนพูดดุจสายฟ้าคมกริบ ขณะย้อนถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “หน้าอย่างเจ้าเป็นใครกัน! มีสิทธิ์อันใดมาสอดปากเรื่องนี้”
หลายปีที่ผ่านมาเขาขึ้นชื่อเรื่องความสุภาพถ่อมตนและให้เกียรติผู้ทรงภูมิ อย่าว่าแต่ขุนนางราชสำนักเลย ต่อให้เป็นทหารองครักษ์ทั่วไปในวังหลวงเขาก็ไม่เคยยกตนข่ม
การแสดงอำนาจที่เหนือกว่าตำหนิขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจริงๆ
พอเขาพูดเช่นนั้น ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด ตำหนักเซวียนเจิ้งอันกว้างใหญ่เงียบสงัดไร้สรรพเสียง ขุนนางที่ถูกเขาเอ็ดอึงหน้าแดงสลับซีด ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ลนลานทิ้งตัวคุกเข่าหมอบกรานกับพื้น
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! กระหม่อมถูกปรักปรำพ่ะย่ะค่ะ! อ๋องผู้สำเร็จราชการโปรดทรงแสดงหลักฐานด้วย! หากมีหลักฐานชัดเจนจริง กระหม่อมยอมรับโทษทัณฑ์อยู่แล้ว! แต่หากอ๋องผู้สำเร็จราชการทรงนำหลักฐานมาแสดงไม่ได้ก็เท่ากับว่าทรงปรักปรำ…”
เสียงแก้ต่างของเกาเฮ่อดังขึ้นในตำหนัก แต่เพียงครู่เดียวก็เงียบหายไป เขากับคนอื่นเห็นซู่เซิ่นฮุยเดินไปหาจย่าซิวก็พากันฉงนงงงวย ไม่รู้ว่าชายหนุ่มทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด
จย่าซิวไม่คาดคิดเลยว่ากำลังจะเลิกประชุมอยู่แล้วแท้ๆ กลับเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ขึ้น
เดิมทีเขาได้รับคำสั่งว่าเมื่อเลิกประชุมราชสำนักแล้ว รอจนขุนนางออกไปหมด เขาจะต้องนำกำลังคนไปขวางอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้
นี่คือภารกิจที่เขาต้องทำและจะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น เขาไม่รู้เลยว่าอยู่ๆ ฉีอ๋องซู่เซิ่นฮุยเดินมาหาตนในเวลาอย่างนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
จย่าซิวยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของตำหนัก มองฝ่ายตรงข้ามก้าวมาทางตนช้าๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทุกที เขาเกร็งเครียดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือค่อยๆ ยกขึ้นทีละนิดโดยไม่รู้ตัวเพื่อเอื้อมไปหากระบี่เล่มยาวที่ห้อยเอว
จังหวะที่กำลังจะจับด้ามกระบี่เขาก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการหยุดยืนตรงหน้า สองตาจ้องมองเข้ามาในตาเขา จากนั้นก็ยื่นมือออกมา
ชั่วเสี้ยวขณะจิตนั้นจย่าซิวพลันบรรลุวาบ เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด
ปลายนิ้วเขากระชับจับด้ามกระบี่ในพริบตาเดียวกัน ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า
เขาสัมผัสได้ว่ากระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอวเบาโล่งขึ้นทันใด พอก้มหน้ามองก็พบว่าด้ามกระบี่อยู่ในมือคนตรงหน้าแล้ว
ทีละกระเบียด…ทีละนิ้วในตอนแรก กระบี่เล่มนั้นถูกชักออกจากฝักอย่างแช่มช้า แต่เพียงไม่กี่อึดใจให้หลังเสียงกระบี่เล่มยาวเสียดสีฝักดังเช้งก็ส่งกังวานชัดเจน จากนั้นกระบี่ทั้งเล่มก็ไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามในชั่วพริบตา
ความจริงระหว่างนั้นจย่าซิวมีโอกาสขัดขวาง ทว่าสายตาที่มองจ้องมาของคนตรงหน้าสยบการตอบสนองทุกอย่างของเขาไว้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการถือกระบี่ที่ชักออกจากเอวตนหมุนตัวเดินไปแล้ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ซู่เซิ่นฮุยถือกระบี่คมกริบส่องประกายวาววับเล่มนั้นเดินดุ่มไปหาเกาเฮ่อพร้อมไอสังหารที่พลันโชติโชนขึ้นในแววตา ทุกคนเห็นแล้วต่างตื่นตระหนกพรั่นพรึง ทว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง มีแต่พากันถอยกรูด