มู่ฝูหลันจ้องกระบี่โดยไม่ละสายตา นางรู้สึกคล้ายความเจ็บปวดเสียดแทงกระแทกเข้ากลางอกระลอกหนึ่งจนเกือบยืนทรงตัวไม่อยู่
แม่นมมู่เห็นใบหญ้าของหญิงสาวเผือดลงกะทันหัน จึงรีบประคองนางนั่งลงบนตั่งใกล้ๆ
“ท่านหญิง เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
มู่ฝูหลันหลับตาลง พูดเสียงแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร คงจะเหนื่อยนิดหน่อยกระมัง พักผ่อนแล้วก็ดีขึ้นเอง”
แม่นมมู่รีบเรียกให้ผู้ดูแลพาพวกสาวใช้ไปรู้จักที่ทางสำหรับต้มน้ำทำอาหาร ส่วนตนเองพยุงมู่ฝูหลันให้เอนกายลงบนตั่ง ครั้นสัมผัสได้ว่าฝ่ามือนางเย็นเฉียบก็เอาเสื้อขนสัตว์ที่นำติดมาคลุมตัว แล้วบอกให้นางนอนพักก่อน จากนั้นช่วยกันกับคนที่เหลืออยู่เปิดหีบหยิบของออกมาจัดเก็บเข้าที่มือเป็นระวิง
ไม่ถึงชั่วครู่ มีขันทีจากวังหลวงคนหนึ่งมาถ่ายทอดกระแสพระดำรัสของหลิวไทเฮา
มู่ฝูหลันตั้งสติให้มั่นแล้วออกไปต้อนรับ
ขันทีผู้นั้นยังหนุ่มมาก อายุไม่ถึงยี่สิบปี รูปหน้ายาว ร่างสูงชะลูด สวมชุดสีม่วง ท่าทางสุภาพเป็นมิตรยิ่ง เขากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้ามีนามว่าเฉาจิน ได้รับพระบัญชาขององค์ไทเฮามาบอกความต่อฮูหยิน ไทเฮาทรงมีพระดำรัสว่าท่านหญิงต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางแล้ว ในเมืองหลวงยังมีหิมะตกอีก ท่านก็พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน รอเมื่อร่างกายฟื้นฟูเต็มที่แล้วค่อยเข้าวังก็ไม่สายขอรับ”
มู่ฝูหลันหลุบตาลงกล่าวขอบพระทัย แม่นมมู่ก็ยื่นสินน้ำใจให้ ขันทีผู้นั้นกลับไม่รับ เขาโบกมือไปมาพลางพูดยิ้มๆ “เพียงมาบอกความต่อฮูหยินไม่กี่คำ ไหนเลยจะกล้ารับรางวัลของท่าน ผู้บัญชาการเซี่ยยังไม่กลับวันนี้ เห็นทีคงกลับมาวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า ฮูหยินพักผ่อนตามสบาย ข้าขอตัวก่อนขอรับ” ว่าแล้วก็ประสานมือคำนับแล้วถอยออกไป
แม่นมมู่กุลีกุจอตามไปส่ง
มู่ฝูหลันสาวเท้าไปผลักหน้าต่างเปิดออกช้าๆ เพ่งตามองตามแผ่นหลังขันทีหนุ่มบนพื้นหิมะในลานเรือนที่ค่อยๆ ห่างไกลไปทุกที
ขันทีหนุ่มคนนี้ก็คือขันทีใหญ่ที่รัดคอชีหลิงเฟิ่งตายตามคำสั่งของเซี่ยฉางเกิง
ฟ้ามืดลงทีละน้อย ในห้องจุดโคมแล้ว ไฟในเตาผิงก็ลุกโชนแผ่ไออุ่นสบาย
มู่ฝูหลันกินอาหารอย่างขอไปทีแล้วชำระกายผลัดอาภรณ์ ด้วยรู้ว่าทุกคนอ่อนล้าจากการเดินทาง นางจึงบอกให้แม่นมมู่กับพวกสาวใช้ไปเข้านอนแต่หัวค่ำ
หิมะเป็นประกายอยู่นอกหน้าต่าง ทั่วบริเวณเงียบสงัด เปลวเทียนดวงหนึ่งในห้องเต้นระริกอย่างไร้สุ้มเสียง หญิงสาวนั่งบนขอบเตียงตามลำพัง สายตาจับอยู่ที่กระบี่ซึ่งแขวนอยู่ตรงหัวเตียง สุดท้ายนางลุกขึ้นเดินไปหามันทีละก้าว
นางหยุดยืนเบื้องหน้ากระบี่ เงยหน้าขึ้นมองต่ออีกเนิ่นนานก่อนจะยื่นมือไปหยิบมันลงมา
กระบี่ในมือหนักอึ้งอยู่บ้าง นางใช้มือหนึ่งกำด้าม อีกมือจับฝักไว้แล้วดึงกระบี่ออกมาทีละชุ่น
ตัวกระบี่คมกริบสะท้อนแสงเทียนข้างหลังแผ่ประกายเย็นเยียบสีขาวอมเขียวแฝงรัศมีสีแดงจากเปลวเทียนรางๆ ดุจนัยน์ตาอสรพิษ
เมื่อจับจ้องมองนานๆ ราวกับว่าประกายกระบี่มีชีวิตขึ้นมา กลายเป็นหยดโลหิตไหลรวมกันเป็นหย่อมๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วไหลทะลักจากกระบี่และทั้งสี่มุมของห้องมาหานางช้าๆ จนท่วมตัว
นางหลับตาลง มือข้างที่ถือกระบี่ไว้กำแน่นขึ้น จนท้ายที่สุดแทบจะสั่นเทา
ทันใดนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านหลังดึงกระบี่ไปจากฝ่ามือนาง
มู่ฝูหลันสะดุ้งเฮือก นางลืมตาพรึบเหลียวหน้าไป
เซี่ยฉางเกิงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ เขายืนอยู่ข้างหลังนางนี่เอง แต่นางกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย