กวนอวิ๋นซีจ้องมองกวนฮูหยิน ในใจคิดว่าเหตุที่บุตรสาวคิดไม่ตก มารดาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ นางมักมาสาธยายต่อหน้าบุตรสาวว่าการแต่งงานกับสกุลฉู่นั้นดีเพียงไร ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าบุตรสาวจะได้ผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ แล้วพอบุตรสาวได้ยินได้ฟังนานเข้าก็ตระหนักว่าการออกเรือนกับสกุลฉู่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ดังนั้นพอสกุลฉู่มาขอถอนหมั้นก็เท่ากับฟ้าพังทลายลงมา
กวนอวิ๋นซีอดหาวนอนไม่ได้ ในใจคิดว่าจะสกัดจุดให้สตรีนางนี้หลับไปเลยดีหรือไม่ ให้กวนฮูหยินที่ยังไม่ยอมแพ้ผู้นี้หุบปากสักที ดูท่าอีกฝ่ายยังหวังอยู่ตลอดว่าจะให้บุตรสาวมีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ สาวใช้จากด้านนอกก็เข้ามารายงาน
“ฮูหยิน คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเชิญคุณหนูไปยังเรือนหลักเจ้าค่ะ”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ยินก็ไม่รอให้กวนฮูหยินได้ทันเอ่ยปาก นางชิงเอ่ยขึ้นทันที “ท่านแม่ ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าท่านพ่อมีธุระอะไรนะเจ้าคะ”
พูดจบก็ไม่รอช้า ออกคำสั่งเองว่า “ไปกันเถิด!” นางรีบเดินจ้ำอ้าวผ่านสาวใช้ไป
ครั้นออกนอกประตูกวนอวิ๋นซีก็รีบก้าวเท้าเร็วทันที เพียงชั่วประเดี๋ยวก็ทิ้งสาวใช้ไว้ด้านหลัง ทำให้สาวใช้ต้องซอยเท้าถี่ไล่ตาม
“คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”
กวนอวิ๋นซีหยุดชะงักทันที ยืนหันหน้ามาอย่างสงบ รอจนสาวใช้ตามมาทันพลางหอบแฮกๆ นางก็เอ่ยว่า “ไปกันเถิด!”
“อ๊ะ?”
สาวใช้เบิกตากว้าง เห็นคุณหนูจะเดินจากไปไกลอีกก็รีบเดินจ้ำอ้าวตามไป
สาวใช้อดนึกประหลาดใจไม่ได้ ไยคุณหนูจึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็วเช่นนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวคุณหนูก็อยู่ห่างออกไปเสียไกลทั้งๆ ที่ไม่ได้วิ่ง
เดิมทีกว่าจะถึงเรือนหลักต้องใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ ทว่ากวนอวิ๋นซีกลับใช้เวลาเพียงครึ่งเดียว
เมื่อนางมาถึงก็เดินเข้าไปในห้องโถง พอมองไปก็ตะลึงโดยพลัน
บุคคลที่นั่งอยู่มีกวนปัง ส่วนอีกคนคือฉู่เหิงจือ
กวนอวิ๋นซีจับจ้องไปที่เขา ในใจขบคิดว่าคนแซ่ฉู่มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด อีกทั้งบุรุษสองคนนี้ยังสนทนากันอย่างชื่นมื่น สถานการณ์นี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูแปลกยิ่ง
สองตระกูลนี้ไม่ใช่แตกหักกันไปเพราะเรื่องถอนหมั้นแล้วหรือ
นางมองพวกเขาด้วยสีหน้าสงสัย ไม่ได้กล่าวทักทาย แต่เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไกลที่สุดแล้วนั่งลง นางไม่อยากขัดจังหวะพวกเขา หยิบถ้วยชาจากโต๊ะน้ำชาด้านข้างมาดื่มเอง
กวนปังหันหน้ามาหานาง เห็นบุตรสาวนั่งอยู่ตรงนั้นไม่เอ่ยแม้กระทั่งคำทักทายเลยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทว่าเป็นเพราะมีคุณชายฉู่อยู่ด้วย ไม่สะดวกที่จะตำหนิจึงจงใจเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ ยังไม่มาคารวะคุณชายฉู่อีก”
หากเป็นกวนอวิ๋นซีคนเดิม พอพบฉู่เหิงจือหัวใจนางก็คงจะว้าวุ่นไปนานแล้ว ทว่ากวนอวิ๋นซีที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่กลับไม่มีภาระทางใจเหล่านี้จึงยิ่งละเลยท่าทีของกวนปัง
นางลุกขึ้นเดินมาข้างหน้า จ้องอยู่ที่ฉู่เหิงจือ
“คุณชายฉู่เจ้าคะ ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน”
สำหรับนางแล้วนี่ก็ถือว่าเป็นการทักทาย แต่สำหรับกวนปังแล้วการทักทายนี้ไม่เป็นไปตามหลักการ สตรีที่ใดเอ่ยกับว่าที่สามีว่าได้ยินชื่อเสียงท่านมานานกัน
เสียดายที่ไม่ว่าเขาจะถลึงตาใส่บุตรสาวอย่างไรกวนอวิ๋นซีกลับทำไม่รู้ประสีประสา เพราะนางกำลังจดจ่ออยู่ที่คนแซ่ฉู่
หลังจากที่ฉู่เหิงจือได้รู้จักนางอีกด้านก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เขายืนขึ้นพลางยิ้มแย้ม เอ่ยทักทายอย่างอ่อนโยน
“น้องอวิ๋นซีร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่”
กวนอวิ๋นซีฟังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนขนลุก หลังจากที่เมื่อวานได้เห็นความมุทะลุดุดันของเขาก็ตระหนักได้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ได้สุภาพเหมือนภายนอก นิสัยของเขานั้นหัวรั้นพอตัวเลยทีเดียว
ในเมื่อเขาต้องการเล่นละครตบตานางก็จะให้ความร่วมมือ
นางตอบอย่างยิ้มแย้ม “ขอบคุณพี่ฉู่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เช้าวันนี้ข้าเพิ่งกินข้าวไปสามชาม แทะน่องไก่ไปสองชิ้น สบายดีอย่างที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”
“แค่ก…แค่กๆ…”
กวนปังไม่ทันระวัง สำลักน้ำชาจนกระแอมกระไออย่างแรง