พวกเขาอยู่ในค่ายบนภูเขามาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็สร้างสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องในค่ายได้สำเร็จ สัญญากันว่าวันข้างหน้าค่อยมาปรึกษาหารือถึงรายละเอียด
กระทั่งใกล้ถึงเวลาพลบค่ำพวกเขาจึงออกจากค่าย ยามที่พวกเขาทั้งสองจากมายังนำสุราหูจงเซียนขึ้นรถม้ามาด้วย
กวนอวิ๋นซีนั่งอยู่บนรถม้ายิ้มไม่หุบ
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้ว “เจ้าดีใจถึงเพียงนี้เชียว?”
“ท่านไม่เห็นตอนที่ข้าเอาสุราสองไหมาด้วย สีหน้าของอาสยงบึ้งตึงเพียงใด แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าสุราสองไหนั้นเขาซ่อนเอาไว้ ยังต้องแสร้งทำเป็นใจกว้างเหมือนคนอื่น พอนึกได้ว่าเขาจะต้องรักษาท่าทีไว้ก็น่าขำนัก”
ฉู่เหิงจือมองไปทางนาง ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดไม่จา
“จริงสิ ตามที่สัญญาไว้ สุราไหนี้ข้าขอมอบให้ท่าน”
ฉู่เหิงจือก็ไม่เกรงใจนาง เก็บสุราไหนั้นไว้แล้วมองไปทางอีกไหหนึ่ง “เจ้าจะนำสุรากลับไปหรือ”
“แน่นอนสิ”
“หากเจ้าเอาสุรากลับไปจะเหมาะสมหรือ ไม่กลัวว่าจะต้องแบ่งให้คนอื่นหรืออย่างไร ข้าได้ยินว่าใต้เท้ากวนชื่นชอบสุรานัก”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ฟังก็ตระหนักถึงฐานะของตนในจวนสกุลกวน
หากนางนำสุรากลับไปแล้วนายท่านกวนรู้เข้า ไม่แน่อาจจะมาขอแบ่ง หากนางแอบดื่ม สุราหูจงเซียนหอมหวนเช่นนี้จะต้องปิดบังจมูกของใต้เท้ากวนไม่ได้แน่ พอถึงเวลานั้นถ้าเขาซักถามนาง…แล้วยังมีสาวใช้ แม่นมอะไรอีก ทุกครั้งที่อยากจะดื่มอย่างสบายใจต้องไล่คนเหล่านี้ออกไป ย่อมไม่ใช่วิธีที่ดี
“มิสู้ให้ข้าช่วยเจ้าเก็บเอาไว้”
ฉู่เหิงจือไม่พูดไม่จา คว้าไหสุราในมือนางมาทันที ทำให้นางตกใจจนเบิกตากว้าง
“ไม่ต้อง”
นางอยากจะแย่งกลับมา ทว่าเขากลับหลบทัน
“กลัวว่าข้าจะขโมยดื่มหรือ” เขาถามอย่างยั่วยุ
หรือว่าไม่ใช่กันเล่า
สีหน้านางแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากลัวเขาจะขโมยดื่ม
ฉู่เหิงจือถอนใจ “ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ใครกันแน่ที่รับรองต่อหน้าทุกคนในค่ายว่าเชื่อมั่นในตัวข้ายิ่งนัก ที่แท้ก็แค่พูดขอไปที แค่สุราไหเดียวก็สงสัยในตัวข้าแล้ว ทำให้ข้าไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะร่วมมือกันได้อย่างไร”
เขาเอ่ยด้วยใจจริง ทว่ากวนอวิ๋นซีกลับฟังแล้วหนังตากระตุก นางรีบฉีกยิ้มเอาใจเขาทันที
“ท่านพูดอะไรเช่นนั้นเล่า ข้าแค่ล้อเล่นเอง ทำเป็นจริงจังไปได้! ข้าก็ต้องเชื่อใจท่านอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะพาท่านขึ้นเขาเหลียงซานไปพบกับวีรบุรุษทั้งร้อยแปด* หรือ หากลือออกไปนี่เป็นโทษประหารเชียวนะ!”
“อ้อ แค่ล้อเล่นเท่านั้นหรือ” ฉู่เหิงจือแสดงสีหน้าสงสัย
กวนอวิ๋นซีพยักหน้าทันที “แค่ล้อเล่นเท่านั้น สุราไหนั้นก็ให้ท่านเก็บไว้!” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงองอาจผึ่งผาย แต่ในใจกลับเอ่ยว่า หากท่านกล้าขโมยดื่มสุราของข้าล่ะก็ ข้าจะเอาเรื่องท่านให้ถึงที่สุด!
ฉู่เหิงจือเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะเก็บสุราไหนี้ไว้ ไม่ให้บุบสลายแน่นอน”
เขาเก็บสุราพลางเพ่งพินิจแววตานางที่พยายามอดกลั้นความอาลัยอาวรณ์ไว้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไยนางจึงน่ารักเช่นนี้
ยามนี้สาวใช้จิ่นเซียงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น นางอดตะลึงไม่ได้
“คุณหนู?”
“ดูเจ้าสิ นอนหลับเสียสบาย ไปกันเถอะ! ถึงจวนแล้ว”
ถึงจวนแล้ว? ไม่ใช่เพิ่งออกมาหรือ
“ยังจะขี้เซาอยู่อีก เจ้าหลับไปทั้งวันแล้วนะ อีกครู่พอถึงบ้านเจ้าลำบากแน่”
“คุณหนู ขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ ครั้งหน้าบ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ”
กวนอวิ๋นซีส่ายหน้า “ก็ได้! ข้าจะช่วยเจ้าปิดบังเรื่องนี้ เจ้าเองก็อย่าพูดออกไปล่ะ”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
ครั้นรถม้ามาถึงจวนสกุลกวน องครักษ์ที่ประตูก็ไปแจ้งนายท่านและฮูหยิน ฉู่เหิงจือลงจากรถม้าแล้วหันไปยื่นมือเข้าไปด้านใน
“น้องอวิ๋นซี ถึงแล้ว” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก
เขาพยุงกวนอวิ๋นซีที่แสร้งทำเป็นเหนียมอายลงจากรถม้า
“วันนี้ขอบคุณพี่ฉู่มากนะเจ้าคะ”
ยามนี้ใต้เท้ากวนและกวนฮูหยินมาถึงแล้ว ฉู่เหิงจือก็เดินขึ้นหน้ามาคารวะ ทักทายกับทั้งสองท่านไม่กี่ประโยค มารยาทครบพร้อม ดูเหมือนบุตรเขยมาเยี่ยมเยียนพ่อตาแม่ยาย ราวกับเรื่องถอนหมั้นไม่เคยเกิดขึ้น