กระทั่งฉู่เหิงจือกล่าวลาใต้เท้ากวนและฮูหยิน ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วจากไป กวนฮูหยินก็ลากบุตรสาวกลับเรือนไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวทันที
“เขาปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ฟังก็รู้ทันทีว่ากวนฮูหยินกำลังจะสืบอะไร นางจงใจเอ่ยว่า “เขามีมารยาท สุภาพเรียบร้อยยิ่งนัก คล้ายกับพี่ชายปฏิบัติต่อน้องสาวอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
กวนฮูหยินขมวดคิ้ว “อะไรคือพี่ชายปฏิบัติต่อน้องสาว เขาเชิญเจ้าไปล่องทะเลสาบ เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ”
กวนฮูหยินเบิกตากว้าง ตาโปนยิ่งกว่าปลาเสียอีก “เกิดอะไรขึ้น”
“ก็พบสหายบางคนระหว่างทาง จึงไปล่องทะเลสาบชมนกชมไม้ด้วยกันเจ้าค่ะ”
กวนฮูหยินเบิกตากว้าง “ยังมีคนอื่นอีก?”
“ใช่สิเจ้าคะ มีคนมากมายครื้นเครงดี ทุกคนดื่มสุราด้วยกันอย่างเริงร่า!” นางจงใจเอ่ยเช่นนี้เผื่อกวนฮูหยินจะได้กลิ่นสุราจากร่างนาง
“ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะไปชำระร่างกายพักผ่อน ไม่คุยกับท่านแล้วนะเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้าไปด้านในเสียเอง
กวนฮูหยินยังไม่ตายใจ ลากจิ่นเซียงมาซักถามถึงรายละเอียด ทว่าจิ่นเซียงหลับไปทั้งวันจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อีกทั้งยังไม่กล้าให้ฮูหยินรู้ว่านางหลับไปจึงต้องทำตามที่คุณหนูกำชับไว้ นางรีบตอบไปว่า
“คุณชายสุภาพกับคุณหนูมาตลอดทาง ทำถูกต้องตามประเพณี คล้ายพี่ชายปฏิบัติต่อน้องสาว…”
ยิ่งพูดมากก็ผิดมาก พูดน้อยก็ผิดน้อย จิ่นเซียงทำไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเองจึงเก็บความลับเป็นอย่างดี เอาเป็นว่านางจะไม่พูดให้มากความแล้วกัน
ขณะที่กวนฮูหยินกำลังพะวงในเรื่องการออกเรือน อีกด้านหนึ่งฉู่ฮูหยินก็กังวลใจในการแต่งงานของบุตรชายเช่นกัน
ครั้นรถม้ากลับมาถึงจวนสกุลฉู่ ฉู่เหิงจือเพิ่งเข้ามาในลานบ้านได้ไม่นานบ่าวก็มารายงานว่าสาวใช้ของฉู่ฮูหยินมาแจ้งว่าฉู่ฮูหยินต้องการพบหน้าเขา ให้เขาไปหาที่เรือนฝ่ายในทันทีที่กลับมา
“ข้ารู้แล้ว อีกครู่ข้าค่อยไป”
ฉู่เหิงจือสั่งให้บ่าวไปแจ้งข่าว แล้วเขาก็ให้คนปรนนิบัติชำระร่างกายและเปลี่ยนอาภรณ์ หลังจากที่เปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่หลวมสบายแล้วเขาก็ไปเยี่ยมเยียนมารดา
“ท่านแม่ขอรับ”
ครั้นฉู่เหิงจือเข้าไปในเรือนก็คารวะฉู่ฮูหยิน
ฉู่ฮูหยินรอบุตรชายคนโตมานาน พอเห็นว่าเขามาจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กลับมาสักทีนะ” พูดจบก็ขมวดคิ้วโดยพลัน ย่นจมูกดมกลิ่น “เจ้าดื่มสุรามาหรือ”
วันนี้ฉู่เหิงจือดื่มไปเยอะจริงๆ เขาใช้กำลังภายในขับสุราออกมาทำให้ดื่มได้เป็นพันจอกโดยไม่เมา ทว่าก็ยังคงมีกลิ่นสุราติดตัวอยู่บ้าง ถึงจะชำระร่างกายแล้วก็ยังคงมีกลิ่นติดอยู่ ไม่อาจปิดบังจมูกของฉู่ฮูหยินได้
ฉู่ฮูหยินสั่งแม่นมทันที “ไปต้มน้ำแกงสร่างเมามาให้คุณชายใหญ่ที”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” แม่นมรีบออกไปจัดการที่ห้องครัวทันที
ฉู่เหิงจือเอ่ยยิ้มๆ “ขอบคุณขอรับท่านแม่”
ฉู่ฮูหยินลากบุตรชายมานั่งลง เอ่ยปากถามเขาในทันทีทันใด “วันนี้เจ้าออกไปข้างนอกกับใคร”
ฉู่เหิงจือแสดงสีหน้าสงบเยือกเย็น เขาคาดเดาไว้ในใจตั้งนานแล้ว เหตุที่ท่านแม่เรียกเขามาจะต้องเป็นเพราะได้ยินว่าวันนี้เขาออกไปหาแม่นางกวนแน่
เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้สั่งบ่าวให้ปิดปากเงียบ ดูท่าหลังจากที่เขาออกจากเรือนไปไม่นานก็มีคนเอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านแม่ ด้วยเหตุนี้พอเขากลับมาท่านแม่จึงให้คนเรียกเขามาทันทีเพื่อจะซักถามเรื่องนี้
“วันนี้ข้าเชิญแม่นางกวนออกไปล่องทะเลสาบชมนกชมไม้มาขอรับ”
“อะไรนะ” ฉู่ฮูหยินตื่นตระหนกเป็นการใหญ่ กล่าวตำหนิอย่างลุกลี้ลุกลน “เป็นความจริงหรือ เหลวไหล! ไยเจ้าจึงไปหาสตรีนางนั้น!”
ฉู่ฮูหยินไม่รอให้บุตรชายเอ่ยปาก นางเอ่ยต่อด้วยความเดือดดาลว่า “บุตรสาวสกุลกวนผู้นั้นกระโดดน้ำ ทำเรื่องให้ใหญ่โตเพราะอยากบังคับให้ตระกูลเราไปหมั้นหมายด้วยมิใช่หรือ เรื่องมันแล้วก็แล้วไป เจ้าหวังดีไปช่วยชีวิตนางขึ้นมา นางยังมีหน้ากล้าชกเจ้าหมัดหนึ่ง ไร้เหตุผลสิ้นดี! ใครจะอยากได้ลูกสะใภ้เช่นนี้”
“ท่านแม่ เรื่องถอนหมั้นมิสู้เลื่อนออกไปก่อนจะดีกว่านะขอรับ”
ครั้นฉู่ฮูหยินได้ฟังก็ลุกขึ้นยืนอย่างตะลึงงัน
“หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าอยากจะไปสู่ขอบุตรสาวสกุลกวนนั่น ไม่ได้นะ ข้าไม่ยอม!”
“ท่านแม่ ครานั้นที่ถอนหมั้นท่านควรจะปรึกษากับข้าก่อนนะขอรับ”
ฉู่ฮูหยินเอ่ยอย่างโกรธแค้น “ยามนั้นท่านปู่เพียงพูดเล่น ไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร ข้อแรก สองตระกูลไม่ได้แลกหนังสือกัน ข้อที่สอง ไม่ได้แลกของแทนใจกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ฐานะของสองตระกูลก็ต่างกันลิบลับ ท่านพ่อของเจ้าเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสอง ส่วนสกุลกวนเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ขั้นหก สองตระกูลไม่เหมาะสมกันด้วยนานาประการจะหมั้นหมายกันได้อย่างไร พวกเขาแค่อยากเกาะตระกูลพวกเราเท่านั้น”