ในครานั้นทั้งสองตระกูลเหมาะสมกันจริง ทว่าพอมาถึงรุ่นบิดา ใต้เท้าฉู่อยู่ในตำแหน่งเสนาบดี ส่วนใต้เท้ากวนเป็นเพียงผู้ตรวจการ หากตระหนักถึงฐานะของตนก็ควรจะรู้ว่าวันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว การหมั้นหมายเป็นเพียงลมปาก ฉู่ฮูหยินจึงส่งคนไปส่งข่าวเป็นการส่วนตัวทั้งยังส่งของขวัญไปมากมาย หากอีกฝ่ายเข้าใจก็ควรจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าจะทำให้เกิดเรื่องบุตรสาวสกุลกวนกระโดดน้ำฆ่าตัวตายขึ้นมา
ครั้นเรื่องนี้ลือออกไปบรรดาฮูหยินผู้สูงศักดิ์ต่างก็หัวเราะเยาะนาง สามีก็ได้รับการประณามจากขุนนางในราชสำนักมากมาย ฉู่ฮูหยินจึงเดือดดาลยิ่งนัก
“ท่านแม่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ข้าจะไปตรวจสอบก่อน”
ครั้นฉู่ฮูหยินได้ฟังก็ตกใจแทบแย่ จึงรีบถามไปว่า “ตรวจสอบอะไร หรือว่าเรื่องนี้เป็นแผนร้าย”
“เรื่องนี้จะใหญ่หรือเล็กข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น สรุปแล้วเรื่องถอนหมั้นขอให้เลื่อนออกไปก่อน พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คอยดูท่าทีไปสักระยะเพื่อไม่ให้ท่านพ่อกลายเป็นขี้ปากคนอื่นขอรับ”
พอฉู่ฮูหยินได้ฟังก็ตระหนักได้ว่าบุตรชายคนโตเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองมาตลอด จะไม่กระทำการด้วยความหุนหันพลันแล่น เขาต้องใคร่ครวญมาอย่างดีแล้วจึงมีข้อสรุปเช่นนี้ นางจึงเอ่ยพลางกัดฟันกรอด “ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็รีบไปตรวจสอบให้เรียบร้อย พอตรวจสอบเสร็จแล้วข้าจะหาภรรยาที่ดีกว่านี้ให้เจ้าเอง”
ฉู่เหิงจือรู้ถึงความคิดของท่านแม่ดี พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงไม่คิดจะพูดมากอีก
หลังจากปลอบโยนมารดา เขาก็อยู่กินข้าวกับนางแล้วค่อยกลับไปที่เรือนของตน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนเขาก็สั่งพวกบ่าวออกไปให้หมด ส่วนตัวเองนั้นนั่งลงนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ประสบมาในวันนี้
เขาเข้าใจถึงความคิดของท่านแม่ ทว่าเขาก็มีแผนการของตัวเอง พอมองไปที่ไหสุราหูจงเซียนสองไหที่วางอยู่บนโต๊ะเขาก็อดคิดถึงกวนอวิ๋นซีไม่ได้
หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็กอดสุราไหหนึ่งด้วยมือข้างเดียว ก้าวออกจากห้อง พอปลายเท้าแตะพื้นดินแล้วก็หายใจเข้าลึกๆ พุ่งทะยานไปทางจวนสกุลกวน
เพียงชั่วครู่เงาร่างสูงเพรียวก็มาถึงจวนสกุลกวน กระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็พบห้องนอนของนางได้อย่างง่ายดาย
เสียงสตรีที่ใสกังวานดังมาจากภายในห้องนอน
“จิ่นเซียง! ข้าว่าไม่ใช่ข้าที่เดินเร็วเกินไป แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เดินช้า”
“คุณหนูอย่าหลอกบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวรู้ดี คุณหนูวิ่งเอา บ่าวยังไม่ทันเดินพ้นระเบียงคุณหนูก็ไปถึงริมสระบัวแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ” อันที่จริงนางใช้วิชาตัวเบาทะยานไปต่างหากเล่า
“บ่าวไม่โง่นะเจ้าคะ คุณหนูไม่อยากให้ใครรู้ บ่าวก็จะไม่พูด แต่ว่าคุณหนูอย่าวิ่งบ่อยๆ เลยเจ้าค่ะ บ่าวตามไม่ทัน”
“ตามไม่ทันก็อย่าตามสิ!”
“คุณหนู บ่าวเป็นห่วงคุณหนูนะเจ้าคะ! กลัวว่าคุณหนูจะเป็นอะไรไป…”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“บ่าวไม่ได้คิดมากไปเจ้าค่ะ บ่าวกลัวว่าถ้าคิดน้อยไปคุณหนูจะทิ้งบ่าวแล้วไปทำเรื่องโง่ๆ อีก”
“ยังจะมาพูดอีกว่าไม่โง่ ตอนนี้ข้ามีชีวิตดีอยู่ ข้าดูคล้ายคนคิดไม่ตกหรือ”
“คุณหนูพูดก็ถูกเจ้าค่ะ วันนี้กูเหยียมาเชิญคุณหนูไปนั่งเรือล่องทะเลสาบ คุณหนูดูเบิกบานขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ”
“จิ่นเซียงจอมโง่ คุณหนูของเจ้าไม่ได้ดีใจเพราะเรื่องนี้ แล้วเจ้าอย่าเรียก ‘กูเหยีย’ สุ่มสี่สุ่มห้านะ พวกเราสองตระกูลถอนหมั้นกันแล้ว”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ! หากกูเหยียไม่อยากมาสู่ขอคุณหนู ไยจึงมาหาคุณหนูเล่าเจ้าคะ”
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าถ้าเขาไม่มีธุระก็ไม่มาหรอก วันนี้ที่เขามาย่อมมีสาเหตุ”
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้ว ยื่นมือไปดึงจุกไหสุรา
“เอ๊ะ?”
“คุณหนู มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าได้กลิ่น…”
“ได้กลิ่นอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร เจ้าไปนอนก่อนเถิด”
จากนั้นภายในห้องก็เงียบกริบ ฉู่เหิงจือรออย่างสงบบนหลังคา เป็นไปตามคาด เพียงชั่วประเดี๋ยวเงาร่างบอบบางก็กระโจนขึ้นมา ครั้นพบหน้าเขา ดวงตาอันงดงามก็เป็นประกายในทันใด
กล่าวให้ถูกต้องก็คือครั้นเห็นเขานำสุราหูจงเซียนติดตัวมาด้วย ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็ปลดปล่อยความตะกละตะกลามออกมา