แสงอาทิตย์เริ่มจางหายไปจากขอบฟ้า เมื่อตะวันดวงโตจมหายไปใต้น้ำ บ้านหลังใหญ่สีขาวกระจ่างตั้งตระหง่านรับคลื่นลมอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของพนักงานเท่าไหร่นัก คนมาใหม่ทั้งสามเดินมาตามทางที่โรยด้วยกรวดใสก้อนเล็กๆ ข้างทางเต็มไปด้วยไม้ดอกหอมที่ปลูกอยู่เรียงราย
“ดอกอะไรตา หอมจัง”
“ดอกแก้ว”
“อ้อ ดอกแก้วที่เขาเอาใบมันไปติดบนลูกชุบใช่มั้ย”
นลินพยักหน้ารับเข้าใจ วรัทอดแขวะอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดูไม่ได้
“รู้จักแต่เรื่องกินอย่างเดียวนี่ละนะ”
“ก็งั้นสิ”
นลินตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ตาจับจ้องบ้านหลังใหญ่แสนสวยในความรู้สึก บ้านหลังใหญ่หากเงียบสงัดดุจไร้ผู้คนอยู่อาศัย
“บ้านนายหัวใหญ่จังเนอะ เลี้ยงหอยมุกนี่มันให้เงินดีขนาดนี้เลยหรือไงนะ หรือว่านายหัวจะขายของเถื่อนฮะ ตา ว่าไง”
“ลิน!”
เสียงปาลิตากับวรัทอุทานออกมาอย่างตกใจ หากนลินยังคงวิจารณ์เพลินอย่างสนุกปาก
“แบบพวกขายน้ำมันเถื่อนไง หรือไม่ก็ขนของเถื่อน อยู่เกาะอย่างนี้สบายออกเนอะ”
“ขอโทษนะ บังเอิญรวยมาตั้งแต่เกิดน่ะครับ ก็เลยไม่เคยขายของเถื่อนหรือขนของเถื่อน”
เสียงทุ้มบอกเรียบๆ ร่างสูงปรากฏตัวออกมาจากซุ้มหิรัญญิการ์ที่หนาทึบพอจะบังคนตัวใหญ่ได้เกือบมิด นลินสะดุ้งเฮือก หากยังฝืนตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ในขณะที่ปาลิตากับวรัทเริ่มจะปลงตกกับชีวิตตัวเองแล้ว ถ้านภนต์จะโกรธหรือเกลียดขี้หน้าพวกเธอมันก็ไม่แปลกเลยจริงๆ
“นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว ผมยังมีบ้านที่กรุงเทพฯ อีกนะ บ้านพักตากอากาศที่เชียงใหม่ก็มี พัทยา ระยอง ภูเก็ต ตรัง ขอนแก่น อืม มีที่ไหนอีกนะ”
“มีเครื่องบินเจ็ทเครื่องบินส่วนตัวหรือเปล่าคะ แล้วเรือรบมีมั้ยคะ เรือดำน้ำล่ะ”
นลินถามรัวเป็นชุด กลบความเขินของตัวเองที่ถูกจับได้ว่ากำลังนินทาเขาอยู่ นภนต์เหมือนจะอึ้งไปนิด ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เรียกให้เภตรากับเตชัสโผล่หน้าออกมาดูจากตัวบ้าน
“เจ็ทส่วนตัวไม่มี ทำได้แต่เช่ารายปีเพราะขี้เกียจซ่อมบำรุง เรือรบเรือดำน้ำไม่มี ไม่ได้จะไปสู้กับใคร มีแต่เรือยอร์ชสองลำ กับว่าจะซื้อเพิ่มอีกสักลำ ไม่นับรวมพวกสปีดโบ้ท เจ็ทสกี รถสปอร์ต แล้วก็อะไรพวกนั้นที่ขี้เกียจนับด้วย เป็นไง รวยแบบนี้ถ้าไม่รวยมาตั้งแต่เกิด ต่อให้ขายของเถื่อน ขนของหนีภาษีก็หาได้ไม่ทันหรอกนะ”
นภนต์ร่ายยาวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นลินมองหน้าคมที่สดใสไปด้วยรอยยิ้ม แล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ เธอยกมือขึ้นไหว้ขอโทษชายหนุ่ม
“ลินปากไม่ดีอีกแล้ว นายหัวอย่าโกรธลินนะ”
“ใช่ครับ ปากมันไม่ดีมาตั้งแต่เกิดครับ ตอนเกิดมาแม่มันก็แทบจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่ยังเด็กแล้วล่ะครับ”
วรัทพูดสนับสนุนคำเพื่อน หากแทนที่นลินจะดีใจ กลับกระทืบเท้าคนปากมากสุดแรงจนวรัทต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“เจ็บเว้ย ไอ้ลิน ทำข้าทำไมวะ”
“พูดมาก”
“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน”
เภตราเดินเข้ามาเป็นกรรมการห้ามมวย เหลือบมองหน้าเพื่อนอย่างจับสังเกต เพราะหน้าคมยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มไม่จาง
“หิวข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า แล้วจะไปทะเลาะต่อที่โต๊ะอาหารก็ได้นะนลิน”
ทุกคนรับคำอย่างเห็นด้วย เพราะน้ำย่อยเริ่มจะย่อยสลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหารกันแล้ว
“นายหัว”
นลินผ่อนฝีเท้าให้ช้าจนลงมาเคียงคู่กับคนที่เดินหลังสุดแล้วกระซิบเรียก ตาเข้มมองเป็นเชิงถาม เด็กสาวส่งยิ้มหวานประจบ
“ไม่โกรธลินนะคะ คราวหน้าลินจะไม่พูดมากอีก”
“ไม่โกรธหรอก อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เราไม่ว่า”
เขาบอกไม่มีรอยยิ้มที่ปาก หากดวงตาเหมือนจะหัวเราะได้ นลินยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“นายหัวใจดี”
“ก็บอกแล้วไง ว่าเราถือสุภาษิต ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา”
เขาบอกทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆ ของคนฟัง ร่างสูงเร่งฝีเท้าเดินจากไปทิ้งคนที่ยืนเข่นเขี้ยวทำอะไรไม่ได้ให้เดินตามหลังมาเองเพียงลำพัง