ครั้นอี้เอ่ยวาจานี้ออกไป คล้ายว่าได้ตอบข้อสงสัยของพวกเขา ทว่าก็ยังคงคลุมเครืออยู่ดี สตรีนางนั้นงดงามยิ่งนัก ครั้นมองไปก็รู้ว่าต้องถูกจัดอยู่ในกลุ่มยั่วยวนเป็นแน่ พวกนางจะต้องฝึกฝนการมอมเมาบุรุษโดยเฉพาะ ในเมื่อจะต้องหลอกล่อบุรุษเพศก็ไม่อาจทำตัวแข็งทื่อมากเกินไปได้ จะต้องดูร่าเริงสดใส เป็นที่น่าประทับใจ ด้วยเหตุนี้คำตอบของอี้จึงทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามีหลักการ
การสร้างความประทับใจจะใช้เพียงความงามเข้าล่อไม่ได้ แต่ต้องรวมถึงทุกท่วงท่าอากัปกิริยาด้วย
เหมียวลั่วชิงไม่สนใจสายตาของผู้อื่นที่มองมาเลย นางโตมาถึงเพียงนี้แล้ว นี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าชีวิตนั้นมีค่ายิ่งนัก
เงาในน้ำ มัจฉาแหวกว่ายไปมา ก้อนเมฆขาวโพลนลอยละล่อง…ในสายตานางแล้ว ต้นไม้ต้นหญ้าทุกต้นล้วนดูมีชีวิตชีวา
นางนั่งอยู่บนก้อนหินอย่างเงียบเชียบ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แหงนหน้ามองท้องฟ้า สายลมอ่อนโชยพัดจอนผมนางราวกับต้นหยางต้นหลิวที่แกว่งไกวเบาๆ นางยิ้มบางๆ ด้วยความสบายใจ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นางในยามนี้แม้จะไม่ได้สวมใส่อาภรณ์หรูหรา ไม่ได้ปัดถูแก้มด้วยแป้งและชาด ทว่ากลับยังคงงดงามราวเทพธิดาที่ดูโดดเด่นบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดึงดูดสายตาของทุกผู้คนให้หยุดอยู่บนร่างนางได้ตลอด
อี้ทอดสายตามองนางและมองไปทางคนอื่น จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจที่เหมียวลั่วชิงก่อกวนจิตใจผู้อื่น นี่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง เขาซึ่งเป็นหัวหน้าจะต้องห้ามปราม
“ออกเดินทางได้” คำสั่งของเขาทำลายความเงียบสงบ แล้วดวงตาเฉียบคมของเขาก็เหลือบมองเห็นความเสียดายที่แวบผ่านดวงหน้านาง
เขาลุกขึ้นยืน คนอื่นก็ขยับตาม แต่ละคนก็ไปจัดการในเรื่องที่ตนเองรับผิดชอบเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
อี้ยืนอยู่ริมลำธาร จ้องเหมียวลั่วชิงด้วยแววตาอันเฉียบคม รอให้นางเดินมาเอง
เหมียวลั่วชิงถอนใจ ทำได้เพียงลุกขึ้น เหยียบย่ำไปบนก้อนหินอย่างระมัดระวัง นางเดินกลับมาทีละก้าวๆ เท้าที่เปลือยเปล่าของนางปรากฏในสายตาอันลึกล้ำของเขาอย่างแจ่มชัด
หากเป็นในยามปกตินางก็จะแสดงวิชาตัวเบา เพียงก้าวเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว ทว่านางยังคงบาดเจ็บจึงไม่อยากใช้กำลังภายใน ดังนั้นจึงเยื้องย่างอย่างเชื่องช้าคล้ายสตรีทั่วไป
ครั้นนางเหยียบย่ำขึ้นไปบนก้อนหินก้อนหนึ่งด้วยเท้าเปลือยเปล่า จู่ๆ ก็ลื่นก้อนหินก้อนนั้น นางจึงอุทานเสียงเบา ร่างกายเสียหลัก ทว่าในขณะต่อมาอี้กลับแฉลบกายเข้ามาช้อนตัวนางได้ทันเวลา
เขาพานางกลับมาบนพื้นดินอย่างง่ายดายในเพียงไม่กี่ก้าว ทว่ากลับยังไม่วางนางลง เดินต่อไปยังรถม้า
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยทันควัน
“เจ้าเดินช้า” เขาเอ่ยตอบ
ภายใต้สายตาของนักฆ่าทุกคน เขาอุ้มนางขึ้นรถม้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย
หร่านเจียงคิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งออกจากจวนไปได้ไม่นาน แม้เขาจะจัดให้เหมียวลั่วชิงพักอาศัยอยู่ในเรือนจู๋เซวียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่นางกลับหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ!
ครั้นเขาได้ทราบข่าวก็บันดาลโทสะเป็นการใหญ่ รีบควบม้ากลับจวนสกุลหร่านทันที สอบสวนสาวใช้และบ่าวไพร่ทั้งหมดในเรือนจู๋เซวียน ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งลงไปให้องครักษ์เสื้อแพรออกค้นหานางทั่วทั้งเมือง ให้คนที่เฝ้ารักษาการณ์ประตูเมืองทั้งสี่ตรวจค้นคนที่จะออกจากเมืองอย่างเข้มงวดกวดขัน
ทั่วทั้งจวนสกุลหร่านปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นเพราะสีหน้าบึ้งตึงของใต้เท้า แล้วคนที่ดูแลเหมียวลั่วชิงในวันนั้นก็คือหรุ่ยเอ๋อร์ นางถูกเฆี่ยนตีจนสลบ แล้วก็ถูกเฆี่ยนตีอีกจนฟื้นขึ้นมา
หร่านเจียงดำเนินการอย่างฉับพลันและเฉียบขาด นำกำลังพลออกตามหานาง เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะหายสาบสูญไปจากเมืองที่เขาควบคุมอยู่ได้ แม้จะตามหาจนทั่วแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องหาให้พบ
แน่นอนว่าหร่านเจียงไม่ยอมให้ใครรู้เด็ดขาดว่าการที่เขานำกำลังพลออกมาสร้างความตื่นตระหนกวุ่นวายนั้น เขาทำไปเพียงเพื่อตามหาอนุภรรยาของตน เขามีชื่อเสียงเลื่องลือในการออกศึกสงคราม แน่นอนว่าเขาจะต้องทำไปเพื่อจับโจรผู้ร้ายซึ่งเป็นเหตุผลที่เปิดเผยได้
ผ่านไปร่วมสิบกว่าวัน เขาไม่เพียงค้นหาแค่คนเป็นในเมืองเท่านั้น แต่เขายังค้นหากระทั่งศพทั้งในแม่น้ำและในสระน้ำด้วย ไม่ว่าจะคนเป็นหรือคนตาย เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้รอดไป