หลินเซินยืนเหม่ออยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนอาศัยโอกาสที่ฟ้ายังไม่มืดออกจากบ้านไปหาคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาเรื่องไฟฟ้า
เจ๋อสุ่ยมีภูเขาและแม่น้ำงดงามทั้งยังอยู่ห่างจากตัวเมือง เสี่ยวหลิวที่เพิ่งสอบติดเป็นข้าราชการเมื่อปีก่อนก็ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ ปกติเขาอยู่ว่างๆ จนชินแล้ว ในระหว่างกำลังนอนฟุบเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่กับโต๊ะทำงาน จู่ๆ ก็เห็นหญิงสาวผมยาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งตรงประตูกำลังเดินเข้ามาทำให้อึ้งไปเล็กน้อย
หลินเซินบอกเหตุผลที่มาที่นี่ ทีแรกเธอคิดว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้วน่าจะจัดการอะไรๆ ลำบาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวหลิวกลับมีท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก หลังเขาหาเอกสารเจอแล้วก็พาเธอไปที่แหล่งจ่ายไฟด้วยตัวเอง วิ่งวุ่นไปมาพักใหญ่ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว
“คุณหลิน ทางชนบทเดินลำบาก ระมัดระวังด้วยนะครับ”
เสี่ยวหลิวเดินถือกระบอกไฟฉายนำอยู่ด้านหน้า เขารั้นจะไปส่งเธอกลับบ้านให้ได้ ในตอนที่เดินมาถึงทางแยกหลินเจิ้นกั๋วที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตูม้วนเห็นหลินเซินเดินมาก็ส่งเสียงทักทาย “เซินเซิน! ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ทุกคนกำลังรอหลานกินข้าวอยู่แน่ะ” เมื่อหันไปเห็นเสี่ยวหลิวรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม “เสี่ยวหลิวก็มาด้วย มากินข้าวด้วยกันไหม”
เธอคาดว่าปกติทั้งคู่คงคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เสี่ยวหลิวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาขานรับแล้วเดินเข้าไป ด้านในมีเสียงหัวเราะของหญิงวัยกลางคนดังออกมา “เสี่ยวหลิวนี่เอง โอ๊ะ! แล้วเซินเซินล่ะกลับมาแล้วหรือยัง”
เด็กอายุห้าหกขวบสองคนวิ่งออกมาจากด้านใน มือของทั้งคู่ถือปืนฉีดน้ำกำลังเล่นกันอยู่ ในตอนที่ทั้งคู่วิ่งผ่านมาก็ชนเข้ากับหลินเซินเบาๆ เด็กสองคนจึงเงยหน้ามองเธอด้วยความสนใจ
เป็นเพราะว่าชนบทตอนกลางคืนหนาวเกินไปอย่างนั้นเหรอ เธอถึงตัวสั่นขึ้นมาน้อยๆ พอได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านในแล้วกลับขยับเท้าไม่ได้
หลินเจิ้นกั๋วยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกประตู “นี่ลูกของลูกชายลุงน่ะ เขาไปทำงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ก็เลยทิ้งเด็กๆ ไว้ให้พวกเราดูแล” หลินเจิ้นกั๋วดึงตัวเด็กทั้งสองคนเอาไว้แล้วชี้ไปที่หลินเซิน “เรียกคุณอา”
เด็กน้อยสองคนมองประเมินเธอสักพักก่อนเอ่ยทักออกมาด้วยท่าทางเขินอายว่า “สวัสดีครับคุณอา” หลินเซินรู้สึกทำอะไรไม่ค่อยถูก ช่วงที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต ลูกชายของครอบครัวหลินยังไม่แต่งงาน จึงไม่เคยมีใครสอนเธอว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร
หลินเจิ้นกั๋วคล้ายสังเกตเห็นความระมัดระวังตัวของหลินเซินจึงตบบ่าเด็กทั้งคู่เบาๆ แล้วบอกให้พวกเขาไปเล่นกันต่อ ก่อนจะแสดงสีหน้ายิ้มแย้มหันมาเรียกหลินเซิน “ไป เข้าไปกินข้าวกัน”
เดินผ่านทางเดินเล็กๆ ด้านหลังประตูม้วนเข้าไปก็เป็นห้องรับแขก การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่ายมาก ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมใหญ่วางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางอาหารจำพวกเนื้อไว้เต็มไปหมด รอบๆ มีคนนั่งอยู่แล้วเจ็ดแปดคนกำลังพูดคุยหัวเราะกัน เมื่อพวกเขาเห็นหลินเซินเดินเข้ามาก็พลันพากันเงียบลงไปในชั่วอึดใจ ก่อนทั้งหมดจะทยอยกันลุกขึ้นมาทักทายเธออย่างกระตือรือร้น
เมื่อกวาดสายตามองไปก็ล้วนเป็นคนหน้าตาคุ้นเคยกันทั้งนั้น แต่หลินเซินกลับนึกไม่ออกว่าเป็นญาติทางฝั่งไหนบ้าง เธอคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้าแทนการทักทาย ป้าใหญ่เจียงกุ้ยจือเดินมาจูงมือเธอ “ตายแล้ว เซินเซินโตเป็นสาวแล้วจริงๆ ดูสิ ดูดีมากเลย”
มือของป้าใหญ่เจียงกุ้ยจือมีปุ่มหนาๆ ซึ่งเกิดจากการทำงานเกษตรเป็นประจำอยู่เต็มไปหมด ฝ่ามือนั้นทั้งหยาบกร้านและบาดผิว หลินเซินขัดขืนเล็กน้อยทว่าไม่สามารถสลัดมือคู่นั้นออกได้ จึงได้แต่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดอย่างสุดความสามารถขณะถูกหญิงวัยกลางคนดึงตัวไปนั่งข้างเสี่ยวหลิว
เจียงกุ้ยจือเอ่ยแนะนำทีละคน “นี่คือลุงรองของหลาน ส่วนนี่ลุงเขย แล้วก็นี่ลูกพี่ลูกน้อง…”
หลินเซินใจลอยไปถึงสมัยเธอยังเด็กๆ ขึ้นมากะทันหัน ตอนที่ปู่ยังอยู่ พ่อกับแม่จะเดินทางกลับมาที่เจ๋อสุ่ยในวันที่สามสิบก่อนขึ้นปีใหม่ คนทั้งครอบครัวจะผ่านวันปีใหม่ไปด้วยกันอย่างมีความสุข
ทว่าหลังปู่จากไปและทิ้งบ้านของบรรพบุรุษเอาไว้ให้คุณพ่อหลิน เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างพี่น้องครอบครัวหลิน ดังนั้นในช่วงปีใหม่พวกเขาจึงไม่ค่อยกลับมาที่นี่แล้ว มีแค่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่คุณพ่อหลินจะพาเธอกลับมาพักสั้นๆ เพื่อจะได้สัมผัสช่วงเวลาวัยเด็กที่ขึ้นเขาลงห้วยอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็จากไป ในงานศพมีฝนตกลงมาปรอยๆ…