“ลืมซื้อค่ะ”
เขาถอนหายใจ “ดึกแบบนี้ร้านค้าน่าจะปิดไปหมดแล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมไปซื้อนะครับ”
“ค่ะ”
กู้ชิงไหวยิ้มออกมา ”ราตรีสวัสดิ์ครับหลินเซิน!”
เธอวางสายไปโดยไม่ได้ตอบกลับ
อีกฟากหนึ่ง กู้ชิงไหวมองหน้าจอที่ดับไปแล้วอย่างเหม่อลอยสักพัก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็หยิบมือถือเดินไปข้างคอมพิวเตอร์ ในโฟลเดอร์เอกสารมีไฟล์ชื่อ ‘ฉันหวังว่า’ อยู่ หลังเขากดเปิดเสียงอ่านบทกลอนก็ดังขึ้นที่ข้างหู
หลังฟังจบไปหนึ่งรอบ เขาก็เปิดบันทึกบทสนทนาเมื่อครู่นี้ในโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
ตอนแรกเขายังไม่แน่ใจว่าเสียงในโบสถ์นั้นใช่เสียงของเธอหรือเปล่า เพราะมันก็ผ่านมานานแล้วกู้ชิงไหวจึงกังวลว่าความทรงจำของเขาอาจจะผิดเพี้ยนไป แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังเสียงที่บันทึกในคอมพิวเตอร์และมือถือเทียบกัน ระดับโทนเสียงทั้งสองเสียงนั้นเหมือนกันไม่มีผิด
กู้ชิงไหวมองดูสีสันของราตรีอันมืดมิดข้างนอกหน้าต่าง บางที…เขาควรจะไปยืนยันด้วยตัวเองสักครั้ง
ท้องฟ้าของชนบทดูเหมือนจะสว่างเร็วกว่าในเมือง ทว่าบรรยากาศเงียบสงบกว่าในเมืองมากนัก ช่วงเก้าโมงกว่าๆ ก็มีคนมาเคาะประตู ที่ด้านนอกนั้นมีเสียงของเด็กๆ ดังเข้ามา “คุณอาเล็กๆ”
หลินเซินลุกขึ้นมาเปิดประตู หลานชายสองคนของเธอยืนอยู่ตรงนั้น “คุณอาเล็ก คุณย่าเรียกให้ไปกินข้าวเช้าครับ”
คนที่พูดคือหลินจื่อหยางที่โตกว่าหน่อย หลินจื่อเฟิงที่เล็กกว่ากำลังชะโงกหน้ามองเข้าไปสำรวจในบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น หลินเซินไม่ได้สัมผัสกับเด็กๆ มานานแล้ว เธอเอ่ยถามอย่างลังเล “อยากจะเข้ามาเล่นกันไหม”
เด็กทั้งสองคนดีใจมาก รีบวิ่งฉิวเข้าไปในบ้านทันที
บ้านของบรรพบุรุษนั้นใหญ่มากและแบ่งออกเป็นสองชั้น ในสายตาของเด็กๆ แล้วนี่ก็คือสถานที่เล่นไล่จับที่ดีมาก หลินเซินปล่อยพวกเขาเล่นกันไป ส่วนตัวเองไปตักน้ำมาอาบ ในตอนที่กำลังเก็บข้าวของส่วนตัวก็ค้นเจอช็อกโกแลตกล่องหนึ่งในกระเป๋าเดินทาง มันเป็นของที่เมื่อวานเมิ่งสืออวี่ซื้อให้เธอจากซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าประตูคอนโดฯ ก่อนออกเดินทางมา
เธอกวักมือเรียกหลานชายตัวน้อย นั่งยองๆ แล้วยื่นช็อกโกแลตไปให้ “ให้พวกหนูกิน”
“ขอบคุณครับคุณอาเล็ก!” หลินจื่อหยางดีใจจนโอบรอบคอของหลินเซินแล้วหอมแก้มไม่หยุด
ในตอนที่หลินเซินได้สติกลับมา เด็กน้อยทั้งสองก็พากันวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว เธอยกมือลูบแก้มตัวเอง ยังมีรอยน้ำลายติดอยู่เลย
มื้อเช้ามีข้าวต้มกับหมั่นโถวทอด เจียงกุ้ยจือยกผักดองที่หมักด้วยตัวเองมาวางบนโต๊ะ รสชาติของมันเข้ากันกับข้าวมาก หลินเจิ้นกั๋วกินข้าวอย่างรวดเร็ว หลังกินเสร็จก็นั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ พอลิ้มรสไปได้สองเฮือกก็หันไปมองหลินเซิน
“เซินเซินเอ๊ย ครั้งนี้ที่เรียกหลานกลับมา หลานเองก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องรื้อบ้านของบรรพบุรุษ ผู้รับผิดชอบของโรงงานมาคุยกับลุงหลายครั้งแล้ว เงื่อนไขชดเชยเองก็ไม่เลวทีเดียว หลังกินเสร็จหลานตามลุงไปที่โรงแรมในหมู่บ้าน ไปเจอผู้รับผิดชอบดีไหม”
หลินเซินวางตะเกียบลงแล้วหยิบทิชชูมาเช็ดปาก น้ำเสียงตอนเอ่ยออกไปนั้นราบเรียบ “ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องรื้อบ้านของบรรพบุรุษค่ะ”
เจียงกุ้ยจือกับหลินเจิ้นกั๋วหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน หลินเจิ้นกั๋วเปลี่ยนโทนเสียงให้สูงขึ้น “เซินเซิน! นั่นเป็นเงินหลายแสนเลยนะ บ้านไม่มีคนอยู่ไปนานแล้ว ทิ้งเอาไว้ตรงนั้นก็เป็นแค่ของตกแต่ง!!”
“พ่อเคยรับปากกับปู่ว่าจะไม่ขายบ้านของบรรพบุรุษทิ้ง ฉันเองก็ไม่มีทางขายค่ะ”
หลินเจิ้นกั๋วพยักหน้าติดๆ กัน น้ำเสียงโอนอ่อนลงอีกครั้ง “ใช่ๆๆ ตอนแรกพ่อของหลานเคยรับปากกับปู่ไว้ แต่ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่หลานตัวคนเดียว ก่อนหน้าที่ลุงจะโทรหาหลาน หลานก็ไม่เคยกลับมาเป็นสิบปีแล้วจริงไหม ผ่านไปไม่กี่ปีบ้านหลังนี้ก็จะกลายเป็นบ้านเก่าทรุดโทรมแล้ว” เขาแบมือออก “ดีไม่ดีวันไหนมีแผ่นดินไหวอีกทีก็ถล่มลงมาแล้ว หลานว่าแบบนี้จะไม่เสียเปล่าหรอกเหรอ”
“ถ้าถล่มลงมา ฉันก็แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ต่อให้ปล่อยมันว่างไว้ฉันก็ไม่มีทางขายค่ะ”