บทที่ 1 : ไม่รู้ว่าไม่รัก
แม้ลมหนาวกำลังจะพัดผ่านไป โดยมีกลิ่นไอความสดชื่นจากหน่ออ่อนของต้นไม้และแสงแดดเจิดจ้าใต้ฟ้าใสกระจ่างมาแทนที่ หากอุณหภูมิซึ่งยังเกียจคร้านค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นอย่างเชื่องช้าก็ทำให้ความเยือกเย็นที่แทรกซ่อนอยู่ในอากาศยังไม่จางไป
ที่ลานกว้างระหว่างอาคารใหญ่น้อยซึ่งกระจายตัวอยู่อย่างเป็นระเบียบคลาคล่ำไปด้วยมนุษย์โลกผู้เติบโตอยู่ในเขตหนาวส่วนใหญ่ซึ่งพร้อมใจพากันออกมานั่งรับแดดอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่บรรดาคนที่คุ้นเคยกับอากาศอบอุ่นจนร้อนของกลุ่มประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรก็ยังสมัครใจจะนั่งจับกลุ่มกันอยู่ภายในอาคารมากกว่า
ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ หลีกเลี่ยงฝูงชนที่ทยอยกันออกมาจากอาคารหลังเสียงสัญญาณหมดคาบช่วงกลางวันเข้าไปภายในอาคารอันเป็นศูนย์อาหารของมหาวิทยาลัยเบื้องหน้า หน้าต่างกระจกรอบด้านที่ปูจากพื้นจรดเพดานสลับกับผนังสีขาวสะอาดตาและเพดานสูงโปร่งช่วยให้ภายในดูสว่างไม่แพ้ด้านนอก กลิ่นอาหารจางๆ ลอยมาจากบริเวณร้านค้าที่เรียงรายกันอยู่อีกด้านกระตุ้นให้น้ำย่อยตื่นตัวได้อย่างดี
“เฮ้ย พัท ทางนี้”
เสียงที่ดังขึ้นเรียกให้เขาหันไปมองก่อนเปลี่ยนทิศทางการเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งล้อมโต๊ะกันอยู่ หลังจากทักทายกันครบถ้วน ใครคนหนึ่งก็ถามขึ้น
“แล้วเถาวัลย์นายหายไปไหน”
พาณาสน์เลิกคิ้วมองคนพูดแทนการถาม ก่อนที่คำตอบจะส่งเสียงมาแต่ไกลโดยไม่ต้องรอคำเฉลยจากใคร
“พี่พัทค้า” เสียงแจ๋วแปดหลอดนำหน้ามา ตามด้วยร่างบางที่ถลาเข้ามาถึงในชั่วอึดใจเหมือนถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กต่างขั้ว แม้จะไม่ใช่คนสวยจัดอย่างที่เจ้าตัวมั่นใจนักหนา แต่พอรวมองค์ประกอบตากลมโต จมูกสวยกำลังพอดีกับริมฝีปากได้รูปเข้าด้วยกันก็ทำให้เธอดูน่ามองไม่น้อย
บรรดาชายหนุ่มที่นั่งล้อมวงอยู่ยักคิ้วใส่กันพลางกลั้นเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ ยกเว้นผู้ที่ถูกคนมาใหม่สอดแขนคล้องกับแขนตนแล้วล็อกไว้แน่น รอยย่นที่หว่างคิ้วเข้มปรากฏขึ้นทันทีที่เขาเห็นแม่เถาวัลย์ถนัดตา
“ทำไมไม่ใส่แจ็กเก็ตมาด้วย”
หญิงสาวที่แต่งตัวด้วยกางเกงยีนกับเสื้อยืดแขนสั้นสีชมพูแปร๋นพอดีตัวฉีกยิ้มให้อย่างไม่หวั่นเกรงในน้ำเสียงดุๆ นั้นแม้แต่น้อย “ก็มันไม่หนาวแล้วนี่คะ”
“ตอนนี้ยังมีแดดก็ไม่ค่อยหนาว แต่กว่าเราจะกลับบ้านก็แดดหมดแล้วนะ”
“ถึงตอนนั้นณาณ่าค่อยขอยืมพี่พัทใส่ก็ได้ค่ะ”
“ดูละครมากไปหรือเปล่า พี่ไม่ใช่พระเอกสุภาพบุรุษที่จะมาสละเสื้อให้เราได้ทุกทีนะ”
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูด เสียงที่สามก็เอ่ยแซวขึ้นหลังจากนั่งกลอกตาฟังทั้งสองโต้ตอบกันอย่างไม่สนใจคนรอบข้างมาชั่วครู่ “ณาณ่ายืมของพี่ก็ได้นะ ถ้าเจ้าพัทมันหวงเสื้อนักล่ะก็”
ณอันดาหันหน้าไปยกมือไหว้คนอื่นๆ จนครบวงก่อนตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่พัทไม่หวงกับณาณ่าหรอก แค่แกล้งพูดไปแบบนั้นเอง ในรถพี่พัทมีเสื้อเตรียมไว้สำหรับณาณ่าเสมอแหละ”
“นึกว่าจะไม่เห็นหัวพวกพี่ซะแล้ว มาถึงก็คุยกับนายพัทคนเดียว ไม่ทักพวกพี่เลย” หนุ่มรุ่นพี่อีกคนแสร้งเอ่ยตัดพ้อ
“โธ่ พูดเหมือนพวกพี่ไม่มีหัว ณาณ่าถึงจะไม่เห็น”
หญิงสาวตอบกลับเสียงอ่อนเสียงหวานจนคนฟังชักไม่แน่ใจว่าเจ้าหล่อนต้องการพูดรอมชอมแก้ความเข้าใจผิดหรือจงใจกระทบกระเทียบกันแน่
“ณาณ่า!” พาณาสน์ลงเสียงหนักอย่างตำหนิ “พูดแบบนี้ได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรน่า แค่ล้อกันเล่นเท่านั้นเอง ใช่มั้ยจ๊ะน้องณาณ่า” หนุ่มหน้าทะเล้นคนเดิมขัดโดยไม่ลืมหยอดทิ้งท้ายตามนิสัยเจ้าชู้ของตน
“ใช่เลยค่ะ สงสัยว่าคงมีคนล้อเล่นกับพี่แบบนี้บ่อยนะคะ ถึงได้เชื่อง่าย เข้าใจง่ายดีจัง” อีกฝ่ายขานรับโดยเร็วด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มหวานจัดที่ขัดกับคำพูดแปร่งหูซึ่งฟังแล้วแสบๆ คันๆ พิกล ร้อนถึงคนกลางต้องปรามเสียงเข้มขึ้นอีก
“หนูณา!”
“ขอโทษค่ะ” เธอรีบเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครทวงถาม แต่จากใบหน้าระรื่นปราศจากความสลดแม้เพียงนิด กับตาโตที่ฉายแววขบขันอย่างไม่ปิดบังก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวคงไม่รู้สึกอย่างที่พูดออกมาสักเท่าไหร่ พาณาสน์จึงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างอ่อนใจกับความแสบของคนข้างตัวที่นับวันดูจะเพิ่มและพูนขึ้นอย่างที่ยากจะรับมือ
…ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครไล่ยายตัวจุ้นนี่ได้จนทางเสียที